นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค เดินทางไปรับมอบหนังสือรับรองการจดจัดตั้งพรรคกล้าอย่างเป็นทางการ ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการ โดยมีพ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. และนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. เป็นผู้มอบ โดย พ.ต.อ.จรุงวิทย์ แสดงความยินดี ย้ำให้พรรคปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขเพื่อให้เป็นสถาบันทางการเมือง โดยสำนักงานยินดีให้คำปรึกษาในทุกเรื่อง และขอให้พรรคเจริญก้าวหน้า

ด้านนายอรรถวิชช์ เปิดเผยว่า ภายในหนึ่งเดือนพรรคจะมีสาขาภาคครบตามกฎหมาย และภายใน 6 เดือนมีตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งและตัวแทนสาขาครบ 350 เขต

นายกรณ์ กล่าวว่า หลังจากนี้พรรคก็เป็นพรรคการเมืองสมบูรณ์แบบแล้ว วันนี้ชัดเจนว่าบ้านเมืองต้องการการเมืองสร้างสรรค์ และนักการเมืองมืออาชีพ เรามีความตั้งใจที่จะทำการเมืองอย่างจรงไปตรงมา อะไรดีก็ชม อะไรไม่ดีก็เสนอแนะสิ่งที่ดีกว่า โดยแบ่งออกเป็น 5 ด้านคือ ด้านเศรษฐกิจ ที่เน้นการแก้ปัญหาให้กับปัจเจกและ SMES ที่กำลังสาหัส, ด้านการเกษตร เป็นด้านที่ไทยถนัด แต่เกษตรกรยังยากจนซึ่งเป็นปัญหามาจากการบริหารงาน, ด้านการศึกษา ระบบต้องผลิตบุคลากรที่เหมาะสมกับความต้องการของประเทศและให้โอกาสทุกคนมีอาชีพที่ดี, ด้านคุณภาพชีวิต, ด้าน Soft power หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การใช้ทุนเดิมของประเทศในการสร้างโอกาสและอาชีพ เช่น อาหาร, หรือความคิดสร้างสรรค์ 

นายกรณ์ กล่าวอีกว่า เรายึดหลักปฏิบัตินิยม เน้นการลงมือทำ และผลลัพธ์ของประชาชน ขอเชิญชวนคนไทยที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน ต้องการเห็นประเทศไทยมีความทันสมัยมั่งคั่งและเป็นสุข มาร่วมงาน เพื่อไม่ให้ประเทศไทยล้าหลัง ทั้งระบบราชการ การเมือง เศรษฐกิจ และกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการการปรับคณะรัฐมนตรี ที่มีชื่อนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นทีมเศรษฐกิจ ตนคิดเห็นอย่างไร นายกรณ์ ไม่ขอแสดงความเห็นเพราะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว และการปรับเปลี่ยนทีมหรือ ครม. เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี ตนไม่ขอก้าวก่าย เพราะตอนนี้เรากำลังเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ ทีมเศรษฐกิจก็มีหน้าที่สำคัญในการเร่งดำเนินการแก้ไข พรรคกล้าเห็นว่าผู้ประกอบการรายย่อยต้องการการช่วยเหลืออย่างมาก หวังว่าใครก็แล้วแต่ที่เข้ามาจะมีนโยบายที่ตอบโจทย์กับปัญหาและข้อให้ตั้งใจทำงานให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งนโยบายต้องเร็วและแรง พร้อมทั้งยืนยันว่า พรรคกล้าพร้อมเสนอวิธีการแก้ปัญหาในฐานะพรรคการเมือง พร้อมเป็นมิตรกับทุกฝ่าย เพราะการเมืองไม่ควรแบ่งพรรคพวก อะไรที่ดีก็ควรสนับสนุน 

เมื่อถามถึงการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะกระทบถึงเศรษฐกิจหรือไม่ นายกรณ์มองว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ควรใช้ในกรณีที่ไม่จำเป็น แต่สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจตนมองว่ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ซึ่งเรื่องใหญ่คือผลกระทบจากโควิด-19 และไม่ตอบประเด็นคำถามว่าการยุบสภาจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเสนอหรือไม่

ส่วนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ตนแสดงความกังวลในบางแง่มุมซึ่งงบประมาณทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่โอนมาจากปี 2563 งบประมาณเงินกู้ และงบประมาณปี 2564 ทั้งหมดต้องมีการใช้อย่างชาญฉลาดและทันต่อเหตุการณ์ เท่าที่เห็นยังมีการพึ่งพาการทำงานในระบบราชการแบบเดิมในการใช้งบประมาณแผ่นดิน ลักษณะการใช้งบมีหลายโครงการที่สังคมมีสิทธิตั้งคำถามได้ว่าจะแก้ปัญหาได้จริงไหมในโลกที่เปลี่ยนไปมาก ซึ่งเงินกู้ 1.1 ล้านล้านบาท รัฐบาลยังมีเวลาต้องคิดให้ดีว่าตอบโจทย์ปัญหามากที่สุดหรือยัง และหวังว่ารัฐบาลจะรับฟังเสียงวิพากษ์