ไม่พบผลการค้นหา
'หมวดเจี๊ยบ' ชี้ระเบิดป่วนกรุงซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยทรุดหนัก ด้าน 'ราเมศ' แนะรัฐบาลควรให้ฝ่ายโฆษกสื่อสารเป็นหลัก ป้องกันการสับสนเชื่อรัฐบาลรับมือได้

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองในช่วงนี้ที่มีเหตุการณ์วางระเบิดในหลายจุดที่ผ่านมาว่าทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ อย่าพยายามพูดให้เป็นเรื่องของการเมืองทั้งหมด เพราะนี่คือเรื่องของประเทศที่ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อปกป้องคุ้มครองประเทศไม่ให้ใครมาคิดร้ายต่อบ้านเมืองของเรา ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลส่งเสริมให้กำลังใจในการทำหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง หลายฝ่ายที่พยายามชี้นำว่าเกิดจากเรื่องนั้นเรื่องนี้คงไม่ใช่หลักการที่ถูกต้อง ควรปล่อยให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงฝ่ายความมั่นคง ที่เชื่อว่าขณะนี้ได้เร่งทำงานกันอย่างหนักทุกคน ต้องให้กำลังใจ และเชื่อเช่นกันว่ารัฐบาลสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการแก้ปัญหา 

นายราเมศ กล่าวว่า การสื่อสารของรัฐบาลจำต้องมีความชัดเจนมีความเป็นหนึ่งเดียว เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ว่าเหตุการณ์ใดที่สำคัญรัฐบาลควรให้ฝ่ายโฆษกรัฐบาลเป็นหลักในการตั้งศูนย์บัญชาการสื่อสารเฉพาะกิจขึ้นในทันที โดยการรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง รวมถึงกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อประมวลผลให้การสื่อสารข้อมูลถึงประชาชนถูกต้องแม่นยำ ข่าวเท็จต่างๆที่พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลหากไม่มีการสื่อสารที่รวดเร็วและแม่นจำประชาชนก็จะเกิดความสับสนและวิตกกังวลได้

ส่วนมาตรการป้องกันในวันข้างหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเป็นกำลังหลักก็จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นโดยเฉพาะมาตรการป้องกัน เพราะต่อจากนี้หน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยถือว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องเป็นหลัก นายกรัฐมนตรีเข้ามาดูตำรวจด้วยตนเองก็เชื่อว่าจะทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

เพื่อไทย ชี้เหตุลอบวางระเบิดซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ทรุดหนัก

ร้อยโทหญิงสุณิสา ทิวากรดำรง สมาชิกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า เหตุลอบวางระเบิดหลายจุดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ดิ่งลงเหวหนักขึ้น จะเห็นได้ว่า หลังเกิดเหตุระเบิด ดัชนีตลาดหุ้นก็ดิ่งลงทันทีกว่า 20 จุด สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุน ที่สำคัญ ความท้าทายทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ไทยต้องเผชิญก็เป็นโจทย์ที่ยากและน่าจะซับซ้อนเกินความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ นอกจากนี้ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ จนทำให้สินค้าไทยมีราคาแพงกว่าคู่แข่ง เช่น ข้าวไทย มีราคาตันละ 12,447 บาท ในขณะที่ข้าวเวียดนาม มีราคา ตันละ 10,244 บาท เท่านั้น ลูกค้าจึงหันไปซื้อข้าวเวียดนามแทน ประกอบกับจีนก็ซื้อข้าวจากไทยน้อยลงถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ไทยขายข้าวได้ต่ำกว่าเป้าถึงเดือนละ 2 แสน ตัน เป็นต้น

นอกจากนี้ สหรัฐซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย ก็เพิ่งออกกฎหมายซื้อสินค้าอเมริกันโดยมุ่งลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ หรือ Buy American Act ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ ภาคส่งออกและธุรกิจท่องเที่ยวไทยทรุดหนัก จนธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าในปี 2019 ภาคการส่งออกของไทยจะขยายตัว 0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนั่นเท่ากับว่า การส่งออกของไทยจะไม่มีการขยายตัวเลยในปีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่ไม่เห็น พล.อ.ประยุทธ์ บอกสังคมว่าเตรียมรับมืออย่างไร

ร้อยโทหญิงสุณิสา กล่าวว่า ในส่วนของกำลังซื้อภายในประเทศก็หดหายเช่นกัน เพราะคนไทยตกงานและเป็นหนี้ท่วมหัว โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า หนี้สินภาคครัวเรือนของไทย มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 78.7 เปอร์เซ็นต์ของ GDP โดยก่อนรัฐประหารปี 2557 คนไทยมีหนี้สินเฉลี่ยต่อหัวในปี 2553 อยู่ที่คนละ 70,000 บาท ต่อปีเท่านั้น แต่ภายหลังรัฐประหารและความวุ่นวายทางการเมือง หนี้สินของคนไทยกลับพุ่งสูงขึ้นเป็น ปีละ 150,000 บาท ต่อคน ในปี 2560 หรือ เพิ่มขึ้นราว 120 เปอร์เซ็นต์ โดยยังไม่รวมหนี้เงินกู้นอกระบบ และมีคนไทยไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน ตกอยู่ในวงจรหนี้เสียไม่สามารถชำระหนี้ได้จนถูกฟ้องร้องดำเนินคดี โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้จากการผ่อนรถ ผ่อนบ้าน และหนี้บัตรเครดิต ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน คือ อายุ 25-35 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนไทยเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยและเป็นหนี้ยาวนานยันแก่ ผิดกับทหารไทยซึ่งร่ำรวยจนมีเงินซื้อเรือดำน้ำและรถถังรุ่นใหม่ ๆ เป็นว่าเล่น แต่พอเกิดเหตุระเบิดป่วนเมืองขึ้น ก็ไม่เห็นว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทุ่มเงินซื้อมาจะช่วยป้องกันเหตุร้ายใด ๆ ได้ และผู้มีอำนาจฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ก็ใช้วิธีการทำงานแบบคร่ำครึในการคาดเดาว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด โดยใช้สมมติฐานแบบเลื่อนลอย และไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักมารองรับ


ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อภิรัชต์ ควรใช้ความระมัดระวังให้มากในการเชื่อมโยงผู้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด อย่าทำให้บุคคลอื่นเสียหายโดยไม่เป็นธรรม และระวังอย่าให้ความเห็นของพวกท่านกลายเป็นการชี้นำการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย เพราะ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อภิรัชต์ นั้นเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว โดยคนนึงเป็นนายกฯ ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็น ส.ว สรรหา ซึ่งให้คุณให้โทษกับเจ้าหน้าที่รัฐอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะตำรวจ อาจทำให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงเพราะถูกการเมืองชี้นำ


"หวังว่า รัฐบาล จะไม่ถือโอกาสใช้สถานการณ์ระเบิดป่วนเมืองเหล่านี้ เป็นข้ออ้างในการซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายพิเศษเพื่อละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยไม่จำเป็น" ร้อยโทหญิงสุณิสา กล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :