ไม่พบผลการค้นหา
แนวคิด คนสวยไม่ฉลาด-คนฉลาดไม่สวย มีมานานมาก ไม่ใช่ว่าลุงเป็นคนพูดคนแรก

“ตอนนี้หลายคนสนใจเรื่องความสวยงามเยอะ แต่สวยงามแล้วต้องมีสติปัญญา มีสมองด้วย ถามอะไรต้องตอบได้ เวลาไปสมัครงานจะยิ้มอย่างเดียวคงไม่ได้ คนไม่สวยมักมีสมอง คนสวยส่วนใหญ่มักไม่มีสมอง”

ตอนอ่านข่าวแล้วเจอประโยคนี้ของนายกฯ ถึงกับอุทานดังๆ ว่า “อิหยังวะ” ตรรรกะพังพินาศ อะไรคือ “คนไม่สวยมักมีสมอง คนสวยส่วนใหญ่มักไม่มีสมอง” คนเราจะมีสองอย่างเลยไม่ได้เหรอ หรือจริงๆ ไม่มีสักอย่างก็เรื่องของเขา ไปหนักหลังคาบ้านใครหรือก็เปล่า

แม้การพูดว่า “คนสวยส่วนใหญ่มักไม่มีสมอง” จะมาจากคนที่มีเซลส์สมอง 84,000 พระธรรมขันธ์ จึงทำให้ไม่แปลกใจมากนัก แต่ที่น่าสนใจคือ ตรรกะในลักษณะ “คนสวยไม่ฉลาด” – “คนฉลาดไม่สวย” นี่มีมานานมากนะ ไม่ใช่ว่าลุงเป็นคนพูดคนแรก คล้ายๆ กับฝรั่งที่มักบอกว่า ผู้หญิงผมบลอนด์บ้องตื้น โก๊ะๆ กังๆ ซึ่งภาพเหล่านี้ก็ยังมีให้เห็นในภาพยนตร์สยองขวัญ ประเภทสาวผมบลอนด์ทรงโตมักตายเป็นคนแรกๆ ตายแบบไร้เหตุผล ตายทำไมวะ เหมือนผู้กำกับหมดงบตัดจบให้ตายๆ ไปซะ

โดยปกติทัศนะความงามของผู้หญิงในบ้านเรา ถ้าอ่านจากวรรณคดีในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก มักระบุแบบหยาดฟ้ามาดิน คือ ผิวผ่องเหมือนทองทา ดวงตาเหมือนนางกวาง คิ้วโก่งดั่งคันศร กลิ่นกายหอมเจ็ดบ้านแปดบ้าน อะไรก็ว่าไป ฯลฯ แต่ในเรื่องของตัวตนภายในนิสัยใจคอ หลักๆ เลยคือ กตัญญูต่อบุพการี และซื่อสัตย์รักมั่นต่อสามี น้อยนักที่จะมีบทที่ทำให้รู้ได้ว่านางคนนี้ทั้งสวยทั้งฉลาดโดดเด่น อย่าง “วันทอง” จากขุนช้างขุนแผน ผู้อ่านส่วนใหญ่ก็จัดให้อยู่ในประเภทสวยแต่อาจไม่ค่อยคิดเยอะเท่าไหร่ ติดชาวบ้านๆ ฉอดๆ ลูกเดียว

แต่ก็ยังพอมีบ้างเช่น “นางสุวรรณมาลี” ผู้ชำนาญพิชัยสงคราม จากเรื่องพระอภัยมณี หรือ “สาวิตรี” จากเรื่องภควัทคีตา โดยนางสาวิตรีนั้นในวรรณคดีว่าทั้งสวยทั้งฉลาดเฉลียว นั่นแหละเป็นปัญหาทีเดียว เพราะโปรไฟล์เริ่ดไปจนไม่มีชายใดกล้ามาสู่ขอ

นี่สะท้อนมุมมองเรื่อง “สวยและฉลาด” ที่ไม่ได้เป็นปัญหากับตัวเจ้าหล่อนอย่างเดียวหรอก แต่เป็นปัญหากับตัวผู้ชายเองนั่นแหละ ที่ “ไม่กล้า” นำมาเป็นคู่ครอง

เข้าทำนอง “ช้างเท้าหลัง” ที่บังเอิญเท้าหลังขับเคลื่อนทรงพลังกว่าเท้าหน้า ในสังคมชายเป็นใหญ่ชายใดก็คงไม่ชอบ ฉะนั้น จะมาทั้งสวยทั้งฉลาดในสังคมแบบนี้ ไม่ได้ไปต่อแน่นอน เหมือนอย่างที่สุภาษิตสอนหญิง (เวอร์ชั่นที่ปรากฏอยู่ตอนปลายสมุดไทยเรื่องโคลงกำสรวลศรีปราชญ์) บอกว่า “อย่าท่อเถียงคนรู้ อย่าต่อสู้สวามี อย่าอวดดีกลางชน”

ส่วนผู้หญิง “ไม่สวยแต่ฉลาด” ในวรรณคดีก็มีเหมือนกันคือ “นางวาลี” เมียคนหนึ่งของพระอภัยมณี ที่ขนาดพระอภัยฯ ตอนเจอแรกๆ ยังพูดว่า “เหมือนคุลาหน้าตุเหมือนปรุหนัง แลดูดังตะไคร่น้ำดำหมิดหมี แต่กิริยามารยาทประหลาดดี เห็นจะมีความรู้อยู่ในใจ” ซึ่งก็เป็นจริงตามว่า เพราะนางเป็นกำลังสำคัญของพระอภัยมณีในครั้งที่อุศเรนยกทัพมาตีเมืองผลึก นี่ก็เป็นตัวอย่างของการ “มองคนที่รูปลักษณ์” เห็นเขาดำนิดดำหน่อยเปรียบซะเป็นตะไคร่น้ำเลย ยังดีที่ตาถึงนำสติปัญญานางมาใช้งานได้

ในสังคมที่ชายเป็นผู้วัดคุณค่า การจะสวยแล้วฉลาด อาจกลายเป็นสาวิตรีมีผัวยาก แต่ถ้าไม่สวยแล้วดันไม่ฉลาดก็อาจไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเหมือนนางวาลีที่มีปัญญา

ดังนั้น เพื่อความรอมชอมในจิตใจของเหล่าผู้ชายใจไม่กว้างบางส่วน จึงอาจอนุมานเอาเองว่าผู้หญิงมีเพียงสองประเภทนี้ ทำให้รู้สึกดีขึ้น

เพราะผู้หญิงสวยก็ไม่ฉลาด และผู้หญิงฉลาดก็ไม่สวย ไม่ดีเกินไปกว่าผู้ชายหรอก ปลอบใจตัวเองกันไป

ฉะนั้น ตรรกะ “คนไม่สวยมักมีสมอง คนสวยส่วนใหญ่มักไม่มีสมอง” ต้องขอบอกอีกครั้งว่าพังพินาศสุดๆ และเป็นการคิดเองเออเอง โดยมีชุดข้อมูลจากไหนก็ไม่รู้ และที่สำคัญคือ หนึ่ง คนเราไม่ควรวัดค่าคนจากภายนอก สอง คนเราไม่ควรไปวิจารณ์ใครว่าฉลาดหรือโง่ และสาม การตีขลุมไม่ใช่ข้อเท็จจริง

คนพูดอะไรแบบนี้ ฉันเดาเอาเองว่า เขามีปมกับ “ผู้หญิงสวยและฉลาด” หรือเปล่า?

วิฬาร์ ลิขิต
เสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ตามแต่ปากอยากจะแกว่ง เรื่องที่คนทั่วไปสนใจ หรือใครไม่สนใจแต่ฉันสนใจฉันก็จะเขียน การตีความที่เกิดขึ้นไม่ใช่ที่สุด ถ้าจุดประเด็นให้ถกเถียงได้ก็โอเค แต่ถึงจุดไม่ติดก็ไม่ซี เพราะคิดว่าสิ่งที่ค้นๆ มาเสนอ น่าจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างไม่มากก็น้อยในวาระต่างๆ จะพยายามไม่ออกชื่อด่าใครตรงๆ เพราะยังต้องผ่อนคอนโด แต่จะพยายามเสนอ Hint พร้อมไปกับสาระประวัติศาสตร์ที่คิดว่าน่าสนใจและเทียบเคียงกันได้
2Article
0Video
66Blog