ไม่พบผลการค้นหา
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตรวจเยี่ยม ศปม.ตร.ชื่นชมตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างหนัก 80 วัน กำชับแผนงานหลังยกเลิกเคอร์ฟิว ตั้งจุดตรวจเฉพาะที่จำเป็น เพิ่มการลาดตระเวนป้องกันอาชญากรรม การชุมนุม กิจกรรมเสี่ยงแพร่เชื้อ ขณะเลี่ยงตอบปม ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ห่วงการหมิ่นสถาบัน ขอคนไทยกลมเกลียว

พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (หน.ศปม.) ตรวจเยี่ยมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาและกำลังพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับ เพื่อนำความห่วงใยและคำชื่นชมจากนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. มายัง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกนาย ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักตลอด 24 ชั่วโมง ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การสนับสนุนมาตรการภาครัฐและการบังคับใช้กฎหมาย

614146000.357761_Moment.jpg

กำชับตั้งจุดตรวจเฉพาะที่จำเป็น หลังยกเลิกเคอร์ฟิว

พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า การทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 26 มีนาคมจนถึง 14 มิ.ย.ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการเคอร์ฟิว รวมทั้งหมด 80 วัน ตำรวจได้ตอบสนองความต้องการในการทำงานตั้งจุดตรวจที่เป็นทางด่านโควิดและด่านเคอร์ฟิว โดยใช้กำลังพลทั่วประเทศ 9 ภาค 1,600 จุด กว่า 40,000 นาย ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับหน่วยงานอื่น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการระงับการแพร่ระบาดของโควิด ทั้งนี้เมื่อเลิกเคอร์ฟิวแล้ว ตำรวจก็ปรับรูปแบบการปฏิบัติงานเพื่อจัดตั้งจุดตรวจเฉพาะที่จำเป็น กับการเพิ่มขีดความสามารถในการลาดตระเวนค้นหาเป้าหมายที่อาจเป็นผู้ก่ออาชญากรรม การชุมนุม หรือกิจกรรมใดก็ตามที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด เพื่อตอบสนองสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อถามว่าหากมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะมีการถ่ายโอนอำนาจการปฏิบัติงานของ ศปม. อย่างไร พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า โดยปกติแล้วตำรวจเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอยู่แล้วหากมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทุกคนก็กลับมาใช้กฎหมายที่มีอยู่เดิม 

ไม่ห่วงยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพราะมี กม.ปกติ รองรับทำงานได้

เมื่อถามว่า หากไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะดูแลการชุมนุมทางการเมืองในภาพรวมอย่างไร พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า ก็ขึ้นอยู่กับ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีการเคลื่อนไหวใดๆก็ตาม ถ้าไม่ผิดกฎหมายก็สามารถกระทำได้

เมื่อถามว่า ฝ่ายความมั่นคงได้ประเมินสถานการณ์ ควรจะต่อหรือยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือไม่ พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าว ตนขอตอบในกรอบการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดว่า แม้ขณะนี้จะควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่สิ่งสำคัญที่นายกฯ ได้เน้นย้ำก็คือ ประเทศต้องเดินต่อไปได้ ผู้คนต้องทำมาหากินได้ เศรษฐกิจจะต้องเจริญเติบโต ซึ่งประเมินว่าอะไรที่สามารถลดหย่อนการควบคุม ลดหย่อนความเข้มงวด เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ ซึ่งรัฐบาลก็มองเช่นนั้น ในส่วนความมั่นคงทั้งทหารและตำรวจ ก็พยายามที่จะยึดหยุ่นในขั้นตอนต่างๆ เพื่อไม่ให้กีดขวางการทำมาหากินตามปกติ โดยยกตัวอย่างการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ จะเห็นว่าตลอดการเป็นหวัดหน้าที่ 80 วันที่ผ่านมา ไม่พบการทำหน้าที่ของตำรวจที่ทำให้เดือดร้อนรำคาญ เพราะตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างสุขุม สุภาพ นิ่มนวล ในทุกด่านตรวจ และไม่มีเรื่องร้องเรียนว่าทำเกินหน้าที่ ซี่งนายกฯ ได้ชมเชยผ่านตนมา พร้อมกำชับทหาร ตำรวจ จะต้องบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจด้วย เรารู้ว่ามีประชาชนส่วนหนึ่งหาเช้ากินค่ำและมีความลำบาก จากมาตรการต่างๆที่รัฐได้กำหนดขึ้นซึ่งทางทหาร-ตำรวจ ก็ช่วยเหลือด้วยการจัดโครงการปันสุข โครงการอาหารฟรี ซึ่ง ผบ.ตร. ก็มอบเงินให้กับตำรวจภูธรภาค เพื่อนำไปดำเนินโครงการแต่ละพื้นที่


เลี่ยงตอบปม ‘ประยุทธ์’ ห่วงการหมิ่นสถาบัน

พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมีความเป็นกังวลกับการหมิ่นสถาบัน ว่า วันนี้ตนมาตรวจเยี่ยมในเรื่องของสถานการณ์โควิด เพราะประเทศไทยได้แสดงตัวอย่างกับชาวโลกให้ได้เห็น ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการแก้ปัญหาโควิด ที่สามารถทำได้อย่างดี โดยมาตรการที่ได้กำหนดขึ้นนั้นประชาชนให้ความร่วมมือและปฏิบัติตาม มีความสอดคล้องและกลมเกลียวกัน แต่ความกลมเกลียวนี้ ถ้าเราไม่ได้อยู่แค่เพียงเรื่องของโควิด นำไปให้เกิดการขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่นายกรัฐมนตรีแถลงกับประชาชนไปเมื่อวานนี้ อยากให้ทุกคนมองเห็นอนาคต ร่วมใจกันอย่างที่เป็นอยู่ เพราะประเทศไม่สามารถเติบโตไปด้วยความเกลียดชังได้ และต้องเติบโตได้ความกลมเกลียว เป็นสิ่งที่ตนอยากจะบอกกับคนไทยทุกคน