ไม่พบผลการค้นหา
ชาวฟิลิปปินส์กว่า 1,000 คน ไม่หวั่นการระบาดของโควิด-19 ออกมาประท้วงในกรุงมะนิลา เพื่อคัดค้านร่างกฎหมายต่อต้านก่อการร้ายที่กำลังรอให้ประธานาธิบดี ‘ดูแตร์เต’ ลงนามรับรอง โดยหวั่นเป็นการให้อำนาจเด็ดขาดประธานาธิบดีปราบผู้เห็นต่าง

รัฐสภาฟิลิปปินส์ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วและอยู่ระหว่างการรอลงนามโดยประธานาธิบดี ‘โรดริโก ดูแตร์เต’ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะนำไปสู่การตั้งสภาของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีที่สามารถออกคำสั่งจับกุมผู้ที่ถูกมองว่าเข้าข่ายต้องสงสัยโดยไม่ต้องมีหมายจับได้นานถึง 24 วัน ซึ่งนักกิจกรรมและกลุ่มสิทธิมนุษยชนกังวลว่ากฎหมายนี้ที่ผลักดันโดยประธานาธิบดีดูแตร์เต อาจเป็นการเปิดทางให้มีการลงโทษ ปราบปรามผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผู้นำฟิลิปปินส์ 

รายงานประบุว่า มีผู้ร่วมชุมนุมต้านร่างกฎหมายดังกล่าวที่วิทยาเขตหลักของมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ในกรุงมะนิลาประมาณกว่า 1,000 คน ผู้ชุมนุมสวมหน้ากากอนามัยและปฏิบัติตามหลักเว้นระยะห่างทางกายภาพเพื่อป้องกันตัวเองจากไวรัส

หนึ่งในนักกิจกรรมที่มาร่วมชุมนุมเผยว่า ทางการไม่ควรหลอกลวงประชาชนว่าร่างกฎหมายนี้จะถูกใช้เพื่อจัดการผู้ก่อการร้าย เพราะกลุ่มติดอาวุธเช่น ‘อาบูไซยาฟ’ ก็จะยังคงถูกสังหารอยู่ดีไม่ว่าจะมีกฎหมายนี้หรือไม่ ขณะที่ผู้ชุมนุมบางคนก็แสดงความกังวลว่าร่างกฎหมายนี้จะเป็นจุดจบของประชาธิปไตยสำหรับชาวฟิลิปปินส์

ร่างกฎหมายดังกล่าวให้คำจำกัดความการก่อการร้ายว่า เป็นความตั้งใจก่อให้เกิดการตายหรือบาดเจ็บ ทำลายทรัพย์สินของรัฐบาลและเอกชน หรือการใช้อาวุธทำลายล้างสูงเพื่อส่งสารแห่งความหวาดกลัวหรือข่มขู่รัฐบาล ซึ่งกลุ่มสิทธิมนุษยชน National Union of Peoples' Lawyers ระบุว่าถ้อยคำที่คลุมเครือของร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการให้อำนาจเกือบเบ็ดเสร็จในการชี้ว่ากลุ่มใดเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ขณะที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ได้วิจารณ์ร่างกฎหมายนี้เช่นกัน โดยระบุในรายงานที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวทำให้การปกป้องสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์อ่อนแอ 

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ออกมาปกป้องร่างกฎหมายนี้ ระบุว่าความกังวลต่างๆ นั้นมากเกินไป ‘เดลฟิน ลอเรนซานา’ รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว่าผู้ที่ประท้วงอย่างสงบไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย โดยทางการให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องมีอำนาจเพิ่มเติมเพื่อต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่ก่อเหตุโจมตีทั้งตำรวจและพลเรือน แต่องค์กรสิทธิมนุษยชน ‘ฮิวแมนไรท์วอทช์’ ชี้ว่านอกจากจะให้อำนาจใหม่แก่ทางการแล้ว ร่างกฎหมายนี้ยังมีผลให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรับผิดชอบต่อการกระทำน้อยลง โดยภายใต้กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่จับกุมผู้ต้องสงสัยผิด ต้องถูกลงโทษปรับ 500,000 เปโซ สำหรับแต่ละวันที่การควบคุมตัวผิดเกิดขึ้น แต่บทบัญญัติคุ้มครองนี้ถูกตัดออกไปในร่างกฎหมายใหม่ 

อ้างอิง CNA / Reuters / HRW