ไม่พบผลการค้นหา
ชวนอ่าน The Journalist and The Murderer หนังสือที่จะทำให้คุณมองฆาตกรเปลี่ยนแปลงไป และสงสัยคนพูดความจริง ?

หลังอ่านมาได้ครึ่งค่อนเล่ม เราก็มีความคิดว่า "ทำไมหนังสือเล่มนี้มันเรียกร้องความสนใจจังวะ" อารมณ์ว่าถ้าเธอไม่สนใจฉันเต็มร้อยหล่ะก็ เธอจะไม่มีทางเข้าใจฉันหรอก ซึ่งก็ตามนั้น เราใช้เวลา 2 เดือนเต็ม กว่าจะอ่านหนังสือ 163 หน้านี้จบ เพราะเสียเวลา 2 อาทิตย์แรกไปกับการอ่านที่ไม่ได้อะไรสักอย่างจนสุดท้ายต้องกลับไปอ่านใหม่

เหตุผลที่เราเลือกเล่มนี้มาเขียนรีวิวเป็นเล่มแรกของศตวรรษใหม่ 2020 ก็เพราะว่า เรายกให้นี่เป็นหนังสือที่เราชอบที่สุดในปี 2019 และถึงแม้เราจะเป็นนักข่าว แต่เชื่อเถอะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นที่ 1 เพราะชื่อเรื่องขึ้นต้นว่า "นักข่าว" สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นคือการตบหน้าเราด้วยความจริงมากกว่า ความจริงที่เจ็บแสบก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่าการสะท้อนความเป็นมนุษย์ซึ่งในที่นี้คือ 'นักข่าว' และ 'ฆาตกร'


คุณคือฆาตกร ?

หนังสือเล่มนี้เริ่มง่ายๆ ว่า คุณเป็นฆาตกรฆ่าครอบครัวตัวเอง ที่ประกอบไปด้วยภรรยาซึ่งกำลังท้องและลูกสาวอีก 2 คน แน่นอน คุณปฏิเสธหัวชนฝากับทุกคนว่าไม่ได้เป็นคนลงมือสังหารใครทั้งนั้นแต่ดูเหมือนหลักฐานและคำให้การของคุณจะไม่ทำให้ศาลคล้อยตามเท่าไหร่ สุดท้ายคุณก็เลยต้องเข้าไปนอนในคุกตามระเบียบ

อย่างที่เราบอกว่าคุณไม่เคยยอมรับสักครั้งว่าโศกนาฏกรรมเหล่านั้นเป็นฝีมือคุณ คุณก็เลยไปติดต่อนักข่าวคนหนึ่งให้มาเขียนประวัติชีวิตคุณ หรือในอีกนัยหนึ่งคุณก็เพียงต้องการหาช่องทางในการสื่อสารสิ่งที่คุณอยากจะสื่อออกไป (ไม่ว่าสิ่งนั้นจะคืออะไรก็ตาม) แล้วจะมีที่ไหนดีไปกว่าสื่อสารมวลชนหล่ะ จริงไหม?

ความสัมพันธ์ของพวกคุณทั้ง 2 คน ดำเนินกันเป็นเวลาหลายปี จากฐานะผู้จ้างและลูกจ้าง

คุณก็ยกให้นักข่าวคนนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตด้วยฐานะที่ใกล้ชิดขึ้น ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจขึ้น แม้จะถูกส่งเข้าไปอยู่ในห้องขังแล้ว คุณก็ยังส่งจดหมายเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับเขาคนนั้นได้รับรู้รายละเอียดในชีวิตของคุณ ด้วยคามหวังเพียงหนึ่งเดียวว่าวันหนึ่งความจริงในฝั่งของคุณจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน


คุณเจอหักหลัง

หลายปีต่อมา ในที่สุดหนังสือที่มีชื่อว่า 'Fatal Vision' ก็ออกสู่สาธารณชนสักที ซึ่งเราขอถือวิสาสะแปลชื่อหนังสือเป็นภาษาไทยว่า 'วิสัยทัศน์แห่งความตาย' แล้วกันนะ ณ จุดนี้ คุณก็ควรจะมีความสุขแล้วใช่ไหม คุณควรจะโล่งใจว่าในที่สุดสิ่งที่คุณหวังก็เป็นความจริงสักที แต่...ขอโทษนะ คุณไม่ได้โชคดีขนาดนั้น (หรือมันเป็นกรรม?)

ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา คุณอาจจะคิดว่าเขาคนนั้นเข้าใจจิตใจของคุณ เข้าถึงจิตวิญญาณและความบริสุทธิ์ แต่เปล่าเลย เขาเพียงรับฟังคุณและ 'โกหก' (lie) หรืออีกคำที่เขาเลือกใช้กับศาลว่าเขาก็แค่พูด "เรื่องไม่จริง" (untruth) เพื่อให้คุณหลุดปากอะไรสักอย่างที่เขาจะเอาไปเป็นช็อตเด็ดในหนังสือของเขาก็เท่านั้น

ในความเป็นจริงที่เขาให้สัมภาษณ์กับคนอื่นเป็นประมาณนี้ "ผมรู้สึกขัดแย้งในตัวเองมากๆ ผมรู้ว่าเขาทำมัน ไม่มีคำถามอะไรจะไปเถียงได้ แต่ผมก็ใช้เวลาช่วงหน้าร้อนกับเขา ผู้ซึ่งในมิติหนึ่งเป็นคนที่คนจะชอบเขาได้ง่ายมาก แต่คุณจะไปชอบคนที่ฆ่าภรรยาและลูกของตัวเองได้ยังไง สิ่งที่ผมรู้สึกมันเป็นความซับซ้อนมาก และผมก็รู้สึกดีที่สามารถทำให้เขาอยู่ในคุกได้"

ส่วนสิ่งที่เขาปั้นหน้าตอบจดหมายคุณที่อยู่ในคุกเป็นประมาณนี้ "มันแทบจะไม่มีฝันร้ายอะไรแย่ไปกว่าสิ่งที่คุณเผชิญอยู่ตอนนี้ แต่มันเป็นแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น คนนอกก็ยังมองออกภายใน 5 นาทีเลย ว่าคุณไม่ได้รับการตัดสินอย่างเป็นธรรม...แม่งเป็นเรื่องโคตรบ้าเลย การที่ใช้เวลาช่วงหน้าร้อนกับเพื่อนใหม่และอยู่ดีๆ ก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาจับเขาไปขัง แต่มันจะไม่นานแน่นอน สหาย มันจะไม่นานแน่นอน"

เนื้อเรื่องยังคงดำเนินต่อไป มันไม่ได้จบแค่ตรงนี้ แต่เรากลับสะดุดไปพักหนึ่งเมื่อนักเขียนเลือกจะเอาจดหมายที่ตัวเอกทั้ง 2 ตัว แลกเปลี่ยนกันออกมาให้เราอ่าน รวมถึงบทสนทนาของตัวเอกทั้ง 2 และคณะลูกขุน

รีวิวหนังสือ

'การหักหลัง' คือสิ่งแรกที่เราคิดได้และก็ตามมาด้วยหลักการบางอย่างทางจิตวิทยาของการตอบสนองความต้องการ เนื้อเรื่องปูมาในช่วงแรกว่านักข่าวคนที่ฆาตรกรเลือกให้เขียนประวัติของเขานั้นเป็นคนที่เคยผ่านยุครุ่งเรืองของการเขียนหนังสือตีแผ่ความจริง แต่หลังจากหนังสือเล่มแรกประสบความสำเร็จเขากลับไม่สามารถกลับขึ้นไปสู่จุดนั้นได้อีกเลย

ความกระหายที่ประจวบกับโอกาสในการแก้มือกับคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน การตีแผ่ความจริงของฆาตกรที่โหดร้ายก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยที่จะส่งตัวเองกลับสู่จุดที่ตกลงมา แต่ก็เพราะความกระหายนี้หรือเปล่าที่ทำให้นักข่าวคนนี้หลงลืมจริยธรรมวิชาชีพของตนจนหลอกลวงคนๆ นึงได้ตลอดหลายปี


คุณถูกฆาตกรรมทางวิญญาณ

อ่านมาจนถึงจุดนี้ เราไม่ได้สนใจเลยว่าฆาตกรไปฆ่าใคร เรามองเขาเป็นแค่คนๆ นึงที่ถูกหักหลัง เรามองว่าเขาถูกทำร้ายจิตใจ เราไม่ได้บอกว่าเขาไม่ผิดเรื่องการฆ่าคนแต่เราก็ไม่คิดว่าเขาสมควรจะถูกกระทำแบบนี้เช่นเดียวกัน ฆาตกรไม่ได้บริสุทธิ์หรอก เรารู้ เขาจ้างนักข่าวคนนี้ให้มาเขียนประวัติของเขาในมุมมองที่เขาอยากจะเล่า ซึ่งใครจะรู้ว่าสิ่งไหนเป็นเรื่องจริงบ้างเป็นเรื่องแต่งบ้าง แต่การที่นักข่าวซื้อความเชื่อใจของคนที่เราไปสัมภาษณ์ด้วยการโกหกให้เหยื่อไว้วางใจ แล้วนำเรื่องราวของเขาไปสร้างทำลายด้วยการเขียนหนังสือให้คนเกลียดทั้งประเทศก็ไม่ใช่เรื่องที่เราสนับสนุนเช่นเดียวกัน

ทุกอย่างมันขนลุกตอนได้อ่านจดหมายจริงๆ มันขนลุกที่เราเหมือน ‘พระเจ้า’ ที่เห็นวิธีการหลอกลวง บิดเบือน ให้คนๆ นึงพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา มันยิ่งไม่ช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่เมื่อเราเองก็เป็นนักข่าวเช่นเดียวกัน และมันสะท้อนกลับมาว่า เอาจริงๆ มันง่ายเหลือเกินที่เราจะบิดเบือนความจริงเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้ากับเป้าหมายของเรา และสิ่งนี้มันชวนขนหัวลุกสะจริงๆ

หนังสือเองก็เปิดเรื่องด้วยคำพูดว่า "นักข่าวคนไหนก็ตามถ้าไม่โง่เกินไปหรือไม่หลงตัวเองจนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จะรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาเขียนมันไม่สามารถตอบโต้ได้" และคุณต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนพวกเราจะรู้จักเฟซบุ๊กหลายสิบปี และเราคงไม่ลืมบอกพวกคุณไปใช่ไหมว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง ไม่ใช่นิยายอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง ฆาตกรฆ่าครอบครัวจริง(ถึงแม้เขาจะไม่ยอมรับ) นักข่าวเขียนหนังสือขึ้นมาทำลายชีวิตฆาตกรจริงๆ อีกทั้งก็ยังมีช็อตความจริงอีกหลายอย่างที่เราอยากให้คุณไปพบเจอด้วยตัวเอง

ลองไปอ่านกันดูนะคะ บางทีคุณอาจจะเข้าใจว่าทำไมในตอนท้าย คณะลูกขุนถึงเรียกนักข่าวคนนั้นเป็นว่าฆาตกร ‘ฆาตรกรรมจิตวิญญาณ’

ป.ล. เรามีเวอร์ชันภาษาอังกฤษด้วยนะ เวลาเราเขียนภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมันจะออกมาแตกต่างกัน ถ้าว่างก็เชิญได้นะคะ กดตรงนี้เลย