ไม่พบผลการค้นหา
คุณหญิงสุดารัตน์ เปรียบคำแถลงนโยบายของรัฐบาลเหมือนแค่คำนำ ไม่ตอบโจทย์แก้ไขปัญหาประชาชน ไม่สมกับเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ส่งกำลังใจให้ 7 พรรคฝ่ายค้านทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนอย่างเต็มที่

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ขอส่งกำลังใจให้ 7พรรคร่วมฝ่ายค้านทำหน้าที่ #องครักษ์พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน อย่างเต็มที่

คนไทยจะหวังอะไรได้บ้างจากการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีหน้าเดิม ในเสื้อคลุมประชาธิปไตย ที่จะแถลง ต่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ในวันนี้ เพราะเมื่ออ่านแล้วจะพบว่า นโยบายรัฐบาลใหม่ไม่ตอบโจทย์แก้ไขปัญหาประชาชน ไม่ครอบคลุม ไม่กำหนดที่มาของงบประมาณ ไม่กำหนดเป้าหมายความสำเร็จ เขียนเหมือนเป็นเพียงคำนำเท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับคำแถลงของรัฐบาลอื่นในอดีต ไม่สมกับเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเลยค่ะ

ขณะที่คนแถลงก็ด่างพร้อยในเรื่องคุณสมบัติทั้งสิ้น

1) นโยบายเขียนเสมือนเป็นความฝันกว้างๆ ขาดรูปธรรมที่ชัดเจน ตนอยากชวนพวกเรากลับไปดูตัวเลขทางเศรษฐกิจ 5ปีคสช. ซึ่งพบว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับพังพินาศ ตั้งแต่ก่อหนี้กู้เงินมาชดเชยงบประมาณมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา 5 ปี รัฐบาล คสช. ก่อหนี้เงินกู้เพื่อนำมาชดเชยงบประมาณที่ขาดดุลไปถึง 2.193 ล้านล้านบาท

หมายความว่าประเทศเป็นหนี้สองล้านล้านบาท ที่ต้องใช้กันชั่วลูกชั่วหลาน โดยที่ประเทศของเราไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไว้เลย ไม่ได้รถไฟฟ้าความเร็วสูง ไม่ได้โครงการบริหารจัดการน้ำป้องกันน้ำแล้งน้ำท่วม ไม่ได้ท่าเรือน้ำลึกใหม่ แต่คนไทยทุกคนต้องมาแชร์หนี้สินที่ คสช. สร้างให้กันหัวโต

มีคนจนมากที่สุด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลก่อหนี้มหาศาล แต่กลับทำให้คนไทยจนกันหมดทั้งประเทศ ดังปรากฏจากตัวเลขประชาชนที่มาขึ้นทะเบียนคนจนที่มากถึง 14.5 ล้านคน และความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจ-สังคม ที่เพิ่มสูงขึ้น

และมีแนวโน้มจะมากขึ้นหากรัฐบาลยังบริหารประเทศอย่างไร้ทิศทางโดยทีมเศรษฐกิจยังเป็นคนหน้าเดิมๆ เพราะทิศทางที่ทำกันมา 5 ปี คือ สร้างรัฐราชการร่วมกับทุนผูกขาด ทุนเส้นสาย ผ่านโครงการประชารัฐ หนี้ครัวเรือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กว่า 1.5 แสนบาทต่อคน ตามข้อมูลของสภาพัฒน์ชี้ว่า หนี้ครัวเรือนไทยพุ่งติดอันดับ 10 ของโลก และสูงถึง ร้อยละ 78.7 ของ GDP

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคไม่มี ไม่มีใครอยากใช้จ่ายเงิน ก่อนรัฐประหาร ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ 64.0 ปัจจุบันเดือนมิถุนายน ปี 2562 เหลือเพียง 51.3 ธุรกิจไทยเงียบซบเซาไปหมดทั้งประเทศ

ตัวเลขการส่งออกครึ่งปีแรกลดลงกว่า ร้อยละ 3 ซ้ำเติมด้วยการท่องเที่ยวเงียบเหงา ทั้ง 2 แหล่งรายได้ของประเทศ กำลังลำบากหนัก จากค่าเงินบาทแข็ง แต่ไม่ปรากฏในนโยบายว่ารัฐบาลนี้จะแก้ไขปัญหาอย่างไร กำลังซื้อภายในประเทศก็หดหาย จากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมาตลอด 5 ปี ของรัฐบาลลายพราง และในนโยบายที่แถลงวันนี้ก็ไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม ที่พอจะเป็นความหวังให้เกษตรกรได้เลย เป็น #ความสงบที่ทำให้ตลาดเงียบสงัด จริงๆค่ะ

ยิ่งกว่านั้นในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กำหนดเป้าหมายสวยหรูว่า จะเพิ่ม GDP เฉลี่ยประมาณ 4-5% ต่อปี แต่ในนโยบายกลับไม่พูดถึง ว่าจะมีนโยบายในการทำให้ GDP โตได้อย่างไร

การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำ ของพล.อ.ประยุทธ์ และทีมเศรษฐกิจชุดเดิม ที่กลับมาเป็นนายกฯ และครม. ชุดใหม่

ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจที่หนักหนาเช่นนี้ ประชาชนย่อมต้องการรู้ว่ารัฐบาลใหม่ ที่มีนายกฯหน้าเดิม จะมีนโยบายแก้ไขปัญหาปากท้องที่เป็นรูปธรรมอย่างไร ภายในเวลาเท่าไหร่

แต่กลับไม่มีคำตอบ ไม่ปรากฏในนโยบายของรัฐบาลใหม่ และไม่ปรากฏว่า จะมีหนทางในการบรรลุยุทธศาสตร์ชาติที่เขียนกันมากับมือได้อย่างไร ? และเมื่อไม่ปรากฏเข็มทิศนำทางว่าจะแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจที่พังพินาศตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้อย่างไร ก็ย่อมยากที่ประชาชนจะฝากความหวังได้

2) แถลงนโยบาย แต่ไม่ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินนโยบาย รัฐธรรมนูญที่ผู้อำนาจร่างกันเอง ได้ประโยชน์กันเอง ระบุไว้ใน ม.162 ว่า ครม. ต้องแถลงนโยบายฯ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย แต่เราไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ปรากฏในเอกสาร

ซึ่งที่ควรจะเป็นคือจะต้องมีการชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่นเดียวกับการทำตารางภาคผนวกว่า สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ฯ อย่างไร

เพราะถ้าไม่บอกแหล่งที่มาของรายได้ให้ชัด ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า รัฐบาลจะหาเงินจากไหน ด้วยวิธีการอย่างไร รัฐบาลจะขยายฐานภาษี ปรับปรุงอัตราภาษี ฯลฯ หรือ พัฒนาภาษีประเภทใหม่ๆ ช่วยบอกให้ชัดเจน เพราะยิ่งรัฐบาลมีนโยบายลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดา จะหารายได้จากส่วนใดมาทดแทน ?

3) คุณสมบัติของคนเป็นนายกรัฐมนตรี มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาฯ วันนี้ตลกร้ายสำหรับคนไทยทั้งประเทศคือมีนายกฯที่ไม่สามารถบอกสถานะตัวเองได้ เวลาได้ประโยชน์ก็บอกว่า ตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เวลาเสียประโยชน์ ก็บอกว่า ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

แม้จะมีองครักษ์พิทักษ์นายก ออกมาดิ้นว่าห้ามอภิปรายในประเด็นนี้ แต่ดิฉันขอยืนยันว่าฝ่ายค้านอภิปรายคุณสมบัตินายกฯ และรมต. ได้ และจะอภิปรายอย่างเต็มที่ ยังมีหลายประเด็นที่เป็นปัญหา ที่ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสและกำลังเฝ้ารอการแก้ไขปัญหา จากนโยบายของรัฐบาลใหม่

"ดิฉันขอส่งกำลังใจให้ #7พรรคฝ่ายค้าน ร่วมกันทำหน้าที่ ตรวจสอบนโยบาย ของนายกรัฐมนตรี และครม.ใหม่ ที่เขาอ้างว่ามาจากระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่

ฝากพี่น้องประชาชนร่วมกันติดตามการทำหน้าที่ของผู้แทนราษฎรที่ท่านเลือกมากับมือ ในการทำหน้าที่ #องครักษ์พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน กันนะคะ"