ไม่พบผลการค้นหา
หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซัดรัฐบาลจัดงบปี 64 ไม่มีมาตรการเห็นหัวประชาชน ยกตัวเลขประชาชน 66 ล้านคนได้สวัสดิการ 2 แสนล้านบาท แต่ข้าราชการ 4 ล้านคนได้มากถึง 4 แสนล้านบาท

เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2563 ที่ศูนย์การค้าเดอะไบรท์ พระราม 2 กรรมาธิการสวัสดิการสังคมจัดเสวนาอนาคตสวัสดิการไทย ฝ่าวิกฤติโควิด-19 โดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงรายพรรคก้าวไกล, นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล, และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ร่วมวงเสวนา โดยในช่วงต้นของการเสวนา ได้มีการพูดคุยกันถึงร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาวาระ 2 ในชั้นกรรมาธิการ ว่าไม่ได้สะท้อนความต้องการทั้งทางด้านสาธารณสุข หรือกระทั่งความต้องการของประชาชนทางด้านเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดในช่วงที่ผ่านมา

นายพิธา กล่าวถึงปัญหาที่ตนมีความกังวลเป็นพิเศษในสถานการณ์วันนี้ คือความเหลื่อมล้ำและความยากลำบากของประชาชนที่ตนได้พบเจอมาในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ระหว่างการลงพื้นที่พบปะประชาชนหลายพื้นที่ หลังจากนั้นเมื่อสภาผู้แทนราษฎรเปิดสมัยประชุมอีกครั้ง ตนมีความคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการที่เห็นหัวประชาชนออกมาบ้าง แต่ในกรณีร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่ตนได้เห็น ไม่ได้สะท้อนถึงมาตรการที่จะนำไปสู่การมุ่งแก้ปัญหาเหล่านี้เลย

เช่นงบประมาณของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นในวันที่คนกำลังตกงานจำนวนมหาศาล งบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นในวันที่คนหลุดจากระบบประกันสังคมเป็นจำนวนนับแสนคน งบประมาณสวัสดิการสำหรับเด็กอายุ 0-6 ขวบก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ราวกับว่าประเทศไทยไม่ได้ผ่านวิกฤติโควิด-19 มาเลย

และถ้าเราไปดูงบประมาณด้านสวัสดิการตลอดเวลาที่ผ่านมา เราจะพบได้ว่าข้าราชการ 2 ล้านคนได้สวัสดิการ 4 แสนล้านบาท ประชาชน 66 ล้านได้ 2 แสนล้านบาท มากกว่าคนไทยทั้งประเทศสองเท่า สิ่งเหล่านี้เป็นช่องว่างทางสังคมที่หนักมาก วิกฤติโควิด-19 เป็นเหมือนมหาพายุที่ไปเปิดสิ่งที่อยู่ใต้พรมเป็นเวลานานให้เปิดเผยออกมา และการจัดทำงบประมาณของประเทศเราก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้เลย

นายพิธากล่าวต่อว่าอย่างไรก็ดี นี่ยังเป็นแค่ร่างงบประมาณในรอบแรก รัฐบาลต้องกลับไปใช้เวลา 2-3 เดือนในการแก้ไข ซึ่งก็หวังว่าจะเกิดการแก้ไขให้ตอบโจทย์แรงงานนอกระบบที่เป็นกลุ่มเปราะบางนี้ และ ส.ส.ของพรรคก้าวไกลก็จะทำงานอย่างเต็มที่ในการผลักดันให้เกิดการแก้ไข ให้งบประมาณนี้สอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นงบประมาณที่เห็นหัวประชาชน ใช้สร้างงานสำหรับคนที่จะตกงานอีก 8 ล้านคน ให้เป็นงบประมาณสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยและที่กำลังจะจบต้องออกมาทำงาน

"ในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็นน้องอายุ 2 ขวบ จนถึงคุณป้าอายุ 86 ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องไปพูดในสภา ไปจี้ในกรรมาธิการ ให้รัฐราชการไทยตื่นได้แล้ว ให้ตอบสนองความเจ็บปวด ความท้าทาย ทำให้ประชาชนกับมามีความหวังอีกครั้ง คนที่ตกงาน 8 ล้านคนต้องมีงานทำ น้องๆที่กำลังจะจบออกมาอีก 5 แสนคนต้องมีงานทำ คนที่เป็นผู้สูงอายุจะต้องได้เบี้ยบำนาญที่อย่างน้อยจะต้องดีเท่ากับข้าราชการ ไม่ใช่ให้ข้าราชการ 2 ล้านคนมาทำนาบนหลังผู้สูงอายุในประเทศไทยที่ได้ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยและช่วยพัฒนาแผ่นดินมา"

นายพิธาระบุว่า "นี่แค่เรื่องในระยะสั้นที่พวกเราเห็น มันเป็นเรื่องความมั่นคงของคนทั้งประเทศ ถ้าพวกท่านมั่นคงคนที่เหลือก็จะมั่นคง เพราะนี่คือความมั่นคงทางสาธารณสุข คนหนึ่งป่วย ต่อให้เขาจะยากจนแค่ไหนมันก็มีโอกาสมาถึงคนชนชั้นกลาง-ชนชั้นบน เพราะฉะนั้นมันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาเปลี่ยนประเทศไทย เปลี่ยนวิธีคิด เราต้องกลับหัวคิดเพื่อที่จะพิชิตโควิดและความท้าทายทางเศรษฐกิจต่อไป”