ไม่พบผลการค้นหา
Wake Up News - รองเลขาฯกกต.ดังใหญ่ กล่าวหาพรรคการเมืองใหญ่เป็นอะมีบา - Short Clip
Nov 16, 2018 04:58

“รองเลขาฯ กกต.”กำชับผู้ตรวจการเลือกตั้ง จับตาฮั๊วเลือก ส.ว. แนะเทคนิคจับกลโกงเลือกตั้ง เผยค่าตัวนายก อบต.สูงกว่า 5 ล้าน แลกการดูคะแนนเสียง

เมื่อวันที่ (15 พ.ย. 61) ที่อาคารอิมแพคฟอรัม เมืองทองธานี นายณัฎฐ์ เล่าสีห์สวกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวบรรยายในการสัมมนาเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจการเลือกตั้ง ในหัวข้อเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการได้มาซึ่งส.ว. เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจการเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยมีการซักซ้อมความเข้าใจให้ผู้ตรวจการเลือกตั้งได้รับทราบถึงวิธีการปฏิบัติในการรับสมัครผู้เข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ว่า กกต.ได้มีการวางระบบตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร ที่คาดว่าจะเปิดรับสมัครในช่วงวันที่ 26-30 พ.ย.นี้  โดยระบบดังกล่าวจะเชื่อมต่อกับระบบ ทะเบียนของกระทรวงมหาดไทยเพื่อสามารถตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครในเบื้องต้นได้ทันที เช่น อายุ การสมัครซ้ำซ้อน การสมัครเกินกว่า 1 กลุ่ม ซึ่งผู้สมัครที่ กกต. พิจารณาว่าขาดคุณสมบัติสามารถร้องต่อศาลฎีกาได้ ซึ่งได้มีการประการประสานแล้วว่าศาลจะเร่งพิจารณาภายใน 5 วัน

ทั้งนี้เมื่อลงคะแนนเลือก ส.ว.แล้ว ผู้สมัครยังไม่สามารถกลับได้ หากใครกลับถือว่าสละสิทธิ เพราะกฎหมายกำหนดว่า หากผู้สมัครกลุ่มใดไม่ได้คะแนนเลยเกิน 10% อย่างน้อย 3 คนขึ้นไปจะถือว่ามีการฮั๊วกัน เพราะผู้สมัครแต่ละคนมี 2 คะแนน สามารถเลือกตัวเองได้ 1 คะแนน แต่ห้ามเลือกตัวเอง 2 คะแนน เพราะถ้าไม่เลือกตัวเองก็อาจถูกมองว่า มีการจ้างให้มาลงคะแนน อาจมีอามิสสินจ้าง เมื่อลงคะแนนแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ติดตามพฤติกรรมผู้สมัคร ส.ว.ด้วย

นายณัฎฐ์ กล่าวอีกว่า ในการเลือกตั้งส.ส. ผู้ตรวจการเลือกตั้งจะมีบทบาทสำคัญโดยหลังจากการจับสลากเพื่อลงพื้นที่ตามกลุ่มจังหวัด ขอให้เข้าไปในสำนักงาน กกต.จังหวัดเพื่อขอดูบัญชีเครือข่ายความสัมพันธ์ของหัวคะแนน ซึ่งมีการจัดทำไว้ครบทุกจังหวัด การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นสะท้อนถึงการใช้เงินอย่างมหาศาล ตั้งแต่การติดต่อนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)ให้ดูแลฐานคะแนนในตำบล ดังนั้นผู้ตรวจการเลือกตั้งจึงสามารถคำนวณได้เลยว่าเงินจะออกวันไหน เพราะบัตร 1 ใบมีผลเลือกส.ส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ และยังใช้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งราคาบัตรลงคะแนนของประชาชนจะพุ่งอย่างแน่นอน

ขณะนี้แม้แต่นายกอบต.ก็มีค่าตัวไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพื่อดูแลฐานคะแนนในตำบล หลังการเลือกตั้งก็สามารถกลับไปสมัครเป็นนายกอบต.ได้ใหม่ เงิน 5 ล้านที่ได้ไปก็เอาไปใช้ในการเลือกตั้งท้องถิ่น ส่วนพรรคการเมืองใหญ่ทำตัวเป็นอะมีบา ซึ่งเป็นสิทธิที่จะสามารถแตกพรรคย่อย เพราะถ้าอยู่เป็นพรรคใหญ่มี ส.ส.ล้นหลาม จะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสเลย เพราะหากชนะเลือกตั้งได้ส.ส.เขต 198 เขต จะได้ปาร์ตี้ลิสต์แค่ 2 ที่นั่ง พรรคใหญ่จึงต้องแบ่งตัวเป็นพรรคย่อย โดยไม่ต้องการที่นั่งส.ส.แบบเขตเลย ขอให้มีคะแนนมาในลำดับ 2 หรือ 3 ก็จะได้สัดส่วนที่นั่งปาร์ตี้ลิสต์ นอกจากนี้ในประเด็นหัวคะแนนก็เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เดิมหัวคะแนนจะเลือกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่ปัจจุบันรักทุกพรรค รับเงินทุกพรรคเพื่อเกลี่ยสัดส่วนฐานเสียงแบ่งไปสนับสนุนให้กับทุกพรรค ซึ่งตนตั้งความหวังว่าด้วยพฤติกรรมต่างๆ ของหัวคะแนน ผู้ตรวจการเลือกตั้งต้องจับได้สักคน

“ขอให้สังเกตหัวคะแนนซึ่งมีพฤติการณ์ที่ชัดเจน จะเป็นคนที่มานั่งเฝ้าไม่ไกลจากหน่วยเลือกตั้ง สังเกตง่ายๆ คือเขาจะไม่กินข้าวกินปลาจะนั่งเฝ้าไม่ไปไหนเลยทั้งวัน เพื่อจะดูความเคลื่อนไหวของคนลงคะแนน โดยดูว่าเงินที่จ่ายไปเข้าคูหาหรือยัง อีกทั้งยังอาจจะมีการทะเลาะกันระหว่างหัวคะแนนด้วยกัน ซึ่งหัวคะแนนจะแตกต่างจากกลุ่มนักศึกษาที่มาคอยถามผลการลงคะแนนเพื่อทำเอ็กซิสโพลล์ รวมทั้งให้สังเกตเรื่องการย้ายทะเบียนบ้านเพื่อการเลือกตั้ง โดยให้จับตาไปยังทะเบียนบ้านที่มีคนต่างนามสกุลมาอยู่รวมกันเยอะๆ ถ้าเจอขอให้สันนิฐานเบื้องต้นได้เลยว่าเป็นย้ายทะเบียนบ้านเพื่อให้มีผลต่อการเลือกตั้ง”นายณัฎฐ์ กล่าว

รองเลขา กกต.กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นจะเกิดปรากฎการณ์ ส.ส.ชักเข้าชักออก และจะไม่นิ่งจนกว่าจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทาง หรือเมื่อครบกำหนด 1 ปีหลังการนับคะแนน จะมีส.ส.แบบปาร์ตี้ลิสของบางพรรคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะเมื่อกกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ก็จะมีการคำนวณส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อใหม่ ทำให้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะขยับไปมา เป็นปรากฎการณ์เป็นส.ส.แค่ข้ามคืน ก็ต้องกลับบ้านไปเลี้ยงลูก และเมื่อมีการคำนวณคะแนนอาจกลับมาเป็นส.ส.ได้อีก 

ส่วนอีกประเด็นที่ต้องจับตาคือนโยบายในการหาเสียงของทุกพรรคการเมือง ซึ่งกฎหมายระบุชัดให้พรรคแจ้งนโยบายต่อ กกต.ก่อนจะนำไปหาเสียง เช่น นโยบายจะใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ และหาเงินมาจากแหล่งไหน อีกทั้งต้องบอกถึงข้อดีข้อเสียด้วย เมื่อกกต.อนุมัติแล้วจึงจะนำไปใช้หาเสียงได้ โดยนโยบายหาเสียงจะเริ่มมีผลตอนที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องไปแถลงนโยบายต่อสภา ถึงเวลานั้นจะถูกตรวจสอบว่านโยบายจะสอดคล้องกับนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์หรือไม่ หากไม่เป็นเรื่องเดียวกัน ก็จะกลายเป็นว่าหาเสียงหลอกลวงมาตั้งแต่ตนหรือไม่ เพราะเมื่อได้รับเลือกแล้วไม่ได้นำนโยบายหาเสียงมาใช้เลย

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
181Article
60261Video
0Blog