นายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก แสดงความเห็นถึงกติกาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ โดยย้ำว่าการแข่งขันที่กรรมการเข้าข้างทีมใดทีมหนึ่ง โอกาสที่ทีมอื่นจะชนะย่อมเป็นไปได้ยาก
โดยข้อความที่ นายพานทองแท้ ได้โพสต์ไว้มีดังนี้
การแข่งขันที่กรรมการเข้าข้างทีมใดทีมหนึ่ง โอกาสที่ทีมอื่นจะชนะ ย่อมเป็นไปได้ “ยาก”
การแข่งขันที่กรรมการฯ แอบส่งทีมของตัวเองมาลงแข่งขันเสียเอง โอกาสที่ทีมอื่นจะชนะ ย่อมเป็นไปได้ “ยากกว่า”
การแข่งขันที่คนเขียนกติกา ออกกฎข้อบังคับต่างๆ เพื่อช่วยให้ทีมของตัวเอง “ชนะตั้งแต่ยังไม่แข่งขัน” โอกาสที่ทีมอื่นจะพลิกกลับมาชนะได้ ย่อมเป็นไปอย่าง“ยากที่สุด”
กติกาในการเลือกตั้งของไทย ตามที่ระบุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. อ่านดูผิวเผินก็จะเห็นว่า มีการเอาเปรียบกันอยู่ในเกณฑ์ “พอจะยอมรับได้” เพราะคนไทยส่วนใหญ่อยากให้มีการเลือกตั้ง จึง “ยอมๆรับร่างฯกันไปก่อน” โดยถึงแม้ว่า พรรคที่คนส่วนใหญ่ต้องการเลือก จะได้คะแนนลดลง 30-40 เสียง แต่ก็ยังคิดว่ายังไงก็ยังเป็นที่ 1 ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ดี
แต่เมื่ออ่านให้ละเอียดอีกที จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้ซ่อนบทเฉพาะกาลเอาไว้ โดยกำหนดให้ 5 ปีแรกของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ การเลือกนายกรัฐมนตรีของไทย จะต้องนำเสียงของวุฒิสมาชิกจำนวน 250 คน มาร่วมโหวตกับ ส.ส.จำนวน 500 คนด้วย ทำให้การเลือกนายกฯ จะมีคะแนนทั้งสิ้น 750 เสียง
ซึ่งวุฒิสมาชิกทั้ง 250 คนนี้ ถูกเลือกหรือมีที่มา มาจาก คสช. หรือคณะกรรมการที่ คสช.ตั้งขึ้นมาหมดทั้งสิ้น
กติกาที่เขียนอย่างแปลกประหลาดในครั้งนี้ เข้าใจได้ง่ายๆ โดยนักเขียนการ์ตูนชื่อดัง พี่เซีย ไทยรัฐ ได้เขียนรูปเปรียบเทียบเอาไว้ว่า ฐานเสียงของพรรคฯการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย เริ่มจาก 0 แต่ฐานของฝ่ายเผด็จการฯเริ่มจาก ส.ว.จำนวน 250 คน!!
จากจำนวน ส.ส.และ ส.ว. ทั้งสิ้น 750 คน ใครรวบรวมได้เกินครึ่งหนึ่งขึ้นไปจะได้เป็นนายกฯ โดยที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ต้องการเสียงจากประชาชนล้วนๆ ต้องเริ่มจากบัตรใบแรกที่หย่อนลงหีบเลือกตั้ง สะสมไปจนได้ ส.ส.ครบ 376 คน ขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายเผด็จการ มีคะแนนแอบตุนไว้แล้ว 250 เสียง
พูดให้ชัดเจนขึ้นมาอีกนิด ถ้าพล.อ.ประยุทธ์เกิดอยากจะสืบทอดอำนาจเป็นนายกฯต่อไป ท่านผู้นำฯ ต้องการอีกเพียง 126 เสียงเท่านั้น แต่พรรคฝ่ายประชาธิปไตย ต้องทำให้ได้เต็มจำนวนคือ 376 เสียง..!!
กติกาการเลือกตั้ง ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแบบนี้ จึงเป็นเพียง “พิธีกรรม” ที่จะบอกกับชาวโลกว่า “ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว”
“แต่เป็นประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่จะช่วยฟอกตัวให้นายกเผด็จการฯคนเดิม มีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ตามระบอบประชาธิปไตย(แบบไทยๆ) อีกครั้งอย่างง่ายดาย” นั่นเอง