คณะนักวิจัยในสหรัฐฯ สำรวจผลตอบแทนผู้จบหลักสูตร 'ศิลปศาสตร์' หลังภาครัฐตัดงบสนับสนุนด้านการศึกษา โดยระบุว่า ไม่ตอบโจทย์การจ้างงานและได้รับเงินเดือนไม่คุ้มกับค่าเล่าเรียน แต่สื่อสหรัฐฯ ชี้ ความสำคัญของหลักสูตรนี้อยู่ที่การสอนให้คนรู้จักวิธีคิดเชิงวิพากษ์
แคทเธอรีน บี. ฮิล และเอลิซาเบ็ธ เดวิดสัน นักวิชาการจากมูลนิธิแอนดรูว์ ดับเบิลยู เมลลอน (AWMF) องค์กรไม่แสวงผลกำไรของสหรัฐฯ เผยแพร่งานวิจัยชื่อว่า The Economic Benefits and Costs of a Liberal Arts Education ซึ่งเป็นการสำรวจและประเมินผลผู้จบหลักสูตรศิลปศาสตร์จากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ เพื่อตอบโจทย์ของสมมุติฐานว่า หลักสูตรนี้ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่คุ้มค่ากับต้นทุนทางการศึกษาที่ผู้เล่าเรียนเสียไปหรือไม่
การวิจัยดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากที่รัฐบาลท้องถิ่นของสหรัฐฯ รวม 4 รัฐ ที่ลงมติตัดงบประมาณสนับสนุนหลักสูตรศิลปศาสตร์ในระดับอุดมศึกษาตั้งแต่ปี 2016 โดยให้เหตุผลว่า หลักสูตรเหล่านี้ไม่ตอบสนองความต้องการในตลาดแรงงาน และไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ผู้ที่เรียนหากเทียบกับหลักสูตรด้านอื่น ๆ ทำให้นักวิจัยทั้งสองรายและคณะ เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคำตอบ
กลุ่มตัวอย่างที่เก็บข้อมูลเป็นผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านต่าง ๆ จากสถาบันอุดมศึกษาในสหรัฐฯ 1,795 ราย รวมถึงผู้จบปริญญาตรีด้านศิลปศาสตร์ 202 ราย ซึ่งมีทั้งผู้จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับประเทศ วิทยาลัยเอกชน และมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งมีคะแนนในการจัดอันดับผลการศึกษาลดหลั่นกันไป พบว่ารายได้เริ่มต้นของผู้จบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์นั้นสูงเกินกว่าค่ากลางของรายได้ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งหมดและมีแนวโน้มว่าผู้เรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับอายุงาน
อย่างไรก็ตาม ผู้จบปริญญาด้านศิลปศาสตร์ (มนุษยศาสตร์/สังคมศาสตร์) มีรายได้เฉลี่ยอยู่ในช่วงเดียวกับผู้จบปริญญาด้านวิทยาศาสตร์ (คณิตศาสตร์) แต่กลุ่มหลังจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเร็วกว่าผู้ที่จบด้านศิลปศาสตร์
งานวิจัยสรุปว่า ผู้จบการศึกษาด้านศิลปศาสตร์มีรายได้เฉลี่ยไม่แตกต่างจากผู้จบหลักสูตรอื่นมากนัก เพราะรายได้ขึ้นอยู่กับเกรดเฉลี่ย ทักษะพิเศษ ประสบการณ์ทางอาชีพ และประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละบุคคลด้วย ข้อกล่าวหาว่าการเรียนศิลปศาสตร์ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจไม่คุ้มค่าแก่ผู้เรียนเมื่อเทียบกับหลักสูตรอื่น ๆ จึงไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังพบข้อมูลบ่งชี้ด้วยว่า เพศสภาพ เชื้อชาติ และเครือข่ายทางสังคม มีผลต่อการจ้างงานของผู้จบปริญญาทุกหลักสูตร ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
นอกจากนี้ คณะนักวิจัยได้ศึกษาวรรณกรรมก่อนหน้า ซึ่งเผยแพร่ออกมาในปี 2013 พบว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ของผู้จบการศึกษาด้านศิลปศาสตร์ ไม่ได้ทำงานที่ตรงกับสาขาวิชาที่เลือกเรียนในระดับอุดมศึกษา และผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่ระบุว่าทักษะและผลงานที่ผ่านมาของลูกจ้างเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่จะตัดสินใจจ้างงาน แต่ไม่ได้พิจารณาจากสาขาวิชาที่เรียนมาในระดับปริญญามากนัก
ขณะเดียวกัน วาเลอรี สเตราส์ ผู้สื่อข่าวของเดอะวอชิงตันโพสต์ เผยแพร่บทความอ้างอิงผลวิจัยดังกล่าว และตั้งคำถามว่า การศึกษาด้านศิลปศาสตร์กำลังถูกโจมตี แต่เหตุใดกลุ่มชนชั้นนำของสังคมอเมริกันจึงยังส่งเสริมให้ลูกหลานของตนเล่าเรียนหลักสูตรเหล่านี้ อีกทั้งการเรียนการสอนด้านศิลปศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำก็เก็บค่าธรรมเนียม 'แพงมาก' จนนักศึกษาจากครอบครัวชนชั้นกลางและยากจนไม่อาจเรียนได้ ทั้งยังมีข่าวอื้อฉาวเมื่อไม่นานมานี้ด้วยว่า ผู้ปกครองที่มีฐานะร่ำรวยพยายามติดสินบนผู้บริหาร เพื่อให้ทายาทของตัวเองได้เข้าไปศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตร์ของมหาวิทยาลัยระดับไอวีลีกของสหรัฐฯ
สเตราส์ระบุด้วยว่าใจความสำคัญของหลักสูตรนี้ คือ การบ่มเพาะให้ผู้เล่าเรียนมีกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์โดยอ้างอิงทฤษฎีของ 'เพลโต-โสเครติส' ที่มองว่าการเรียนรู้ต้องนำไปสู่การตั้งคำถาม ทั้งต่อ 'สถาบันหลัก' ในสังคม และต่อความคิดความเชื่อของตัวเองเพราะ 'ชีวิตที่ไม่มีการวิเคราะห์วิจารณ์นั้นไร้คุณค่า'
ขณะเดียวกัน มาร์ธา นัสบาม นักวิชาการคนสำคัญของสหรัฐฯ เขียนในหนังสือ Not for Profit: Why Society Needs the Humanities โดยระบุว่า ถ้าหากรัฐชาติต้องการส่งเสริมให้ปัจเจกบุคคลตระหนักเรื่องประชาธิปไตย และยึดมั่นคุณค่าของชีวิต เสรีภาพ และการเสาะแสวงหาความสุข ก็จะต้องสนับสนุนให้พลเมืองของตนมีความสามารถในการขบคิดได้ว่า ประเด็นทางการเมืองใดที่จะส่งผลกระทบในระดับชาติ รวมถึงสามารถวิเคราะห์ สะท้อนความคิดเห็น โต้แย้ง และอภิปรายได้อย่างเป็นระบบ เพื่อจำแนกข้อดีข้อเสียของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ หรือแม้แต่การใช้อำนาจของรัฐ
อย่างไรก็ตาม สเตราส์ตั้งข้อสังเกตว่า นักคิดและนักทฤษฎีด้านศิลปศาสตร์หลายสำนัก มองว่า สิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อสังคม คือ ความมั่งคั่งและระบอบทุนนิยม ทั้งยังระบุด้วยว่า การเสาะแสวงหาความร่ำรวยนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำและการล่มสลายของสังคมโดยรวม จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่กลุ่มชนชั้นนำผู้มีฐานะร่ำรวยและมีโอกาสทางสังคมในด้านต่าง ๆ เหนือกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ ในสหรัฐฯ ยังคงส่งเสริมให้ทายาทของตนเล่าเรียนหลักสูตรศิลปศาสตร์ในระดับอุดมศึกษา
แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เรียกร้องให้ภาครัฐตัดงบประมาณสนับสนุนการศึกษาด้านนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อาจเข้าถึงองค์ความรู้เหล่านี้ได้โดยง่าย อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้กลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในข่าย 'อภิสิทธิ์ชน' มีโอกาสแข่งขัน หรือตั้งคำถามต่อความมั่งคั่งหรือความไว้วางใจที่มีต่อสังคมอย่างที่เป็นอยู่