รายการ Talking Thailand ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2563
“อ.วิโรจน์” ซัดเจ็บ! คนบางพวกได้ดีจากการแต่งตั้ง แต่ “หน้า......” กินภาษีประชาชน รัฐประหารทีไร ได้ดีทุกครั้ง [แต่ไม่ยอมลงเลือกตั้ง] หลัง มี ส.ว. ออกโรง โพสต์เชิงขู่ม็อบ อาจถูกตัดหัวแบบฝรั่งเศส กรณีจัดกิจกรรมหน้าวัดแขก ถ.สีลม เหน็บแนมสารพัด ....ยิ่งเจอ “อี้ แทนคุณ” อีกคน “อ.วิโรจน์” ถึงกับส่ายหัว!
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. กล่าวถึง การชุมนุมของกลุ่มเยาวชน ที่จัดที่ถนนสีลม เมื่อวันพฤหัสฯ ว่า เป็นกิจกรรมเชิงล้อเลียนสถาบันเบื้องสูง ที่ตนกังวลว่าอาจทำให้คนกลุ่มที่รักและเทิดทูนสถาบันเกิดความไม่พอใจ และอาจเกิดการกระทำตอบโต้ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ เหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสที่มีเหตุการณ์ฆ่าตัดคอ ซึ่งเหตุมีจุดเริ่มต้นแค่ภาพล้อเลียนของศาสดา ในศาสนาหนึ่ง และทำให้ผู้ที่นับถือศาสนาไม่พอใจ
"ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์ในไทยจะไปถึงขั้นเหตุฆ่าตัดคอในฝรั่งเศสหรือไม่ แต่หากมีคนบ้าๆ บอๆ ลุกขึ้นมาทำ หรือมีมือที่สาม หรือคนที่ถูกเตรียมไว้เพื่อสร้างสถานการณ์ เหตุย่อมเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ผมเตือนด้วยความหวังดีว่า อย่าเรียกร้องหรือทำอะไรที่เกินธง หรือพยายามทำให้เกิดพลิกฟ้าผลิกแผ่นดิน ผมเชื่อว่ารัฐบาลจับตา และพยายามแก้ปัญหาไม่ให้ลุกลามหรือบานปลาย ขณะเดียวกันผู้ใหญ่ระดับผู้พิพากษา ได้คุยกับผมว่าท่านพยายามประคับประคองสถานการณ์เช่นกัน" นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวด้วยว่า จากการติดตามกลุ่มเยาวชนที่เรียกร้องนั้น ตนเห็นว่าเยาวชนคนรุ่นใหม่ เป็นคนเก่งและมีความสามารถ ดังนั้น ควรนำความรู้ และความสามารถไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น การปฏิรูปประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาในชนบท นำเทคโนโลยีไปช่วยชาวบ้าน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่กินหรู อยู่สบาย ถึงเวลาไปชุมนุม 3 ชั่วโมง จากนั้นก็เข้าผับ ซึ่งตนเคยคุยกับเพื่อนไว้ด้วยว่า ต้องการส่งต่องานการเมืองให้คนรุ่นใหม่ แต่เขาเลือกทำในสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น แบบนี้ คงไม่ไหวแน่
ผู้สื่อข่าว ถามถึงข้อเสนอของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เสนอให้ปฏิวัติ นายสมชาย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วย การปฏิวัติไม่ใช่ทางออก และไม่ควรให้เกิดขึ้น
นายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย อดีตส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความเตือนสติคนรุ่นใหม่ ที่แสดงออกทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นสถาบัน โดย ระบุว่า อย่าลืมว่าเขาสามารถสืบค้นย้อนกลับไปได้ไม่ว่าจะลบไปนานแค่ไหน บริษัทหรือองค์กรที่น้องไปสมัครงานเขาจะเช็คได้ว่าน้องเคยมีทัศนคติทางการเมืองอย่างไร แสดงออกอย่างไร และใช้ชีวิตอย่างไร และ "เสียดสี" ใครไว้ ทั้งหน้าตา ชื่อนามสกุล กิริยามันโชว์ออกมาหมดผ่านร่องรอยที่น้องนั่นเองที่เป็นคนประทับให้กับตัวเอง เหมือนเพลงที่บอกว่าไม่มีอะไรจะทำร้ายเราได้เท่ากับเราทำตัวของเราเอง จนน้องหลายคนบอกว่าถ้ารู้อย่างนี้วันนั้น จะนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปในอดีตและเตือนตัวเองในวัยเด็กว่า "อย่าทำอะไรที่ ก้าวร้าวเหยียบย่ำล่วงเกินความรู้สึกของคนอื่นมากไปกว่านี้เลย"
ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง มีนักศึกษาคนหนึ่งในต่างประเทศเขาเคย ด่าประธานาธิบดีของเขาใน Facebook วันหนึ่งเมื่อเขาจบไปแล้ว เขาไปสมัครงานในบริษัทแห่งหนึ่งบริษัทได้เช็คประวัติไปในสื่อออนไลน์ที่เขาเคยเล่น และมันก็ปรากฏหลักฐานว่าเขาเคยด่าประธานาธิบดีของเขาและถูกดำเนินคดี ถึงแม้คุณสมบัติด้านอื่น เขาจะดีพอที่จะเข้าทำงานแต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ไม่มีมลทินด้านนี้ เขาจึงพลาดโอกาสนั้นไป อย่างน่าเสียดาย
ผมยังคงพยายามทำความเข้าใจในจุดยืนที่น้องๆหลายคนแสดงออกในความคิดสร้างสรรค์ผ่านงานศิลปะและการมีส่วนร่วมในประเด็นสังคมต่างๆโดยเฉพาะการพูดถึงการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อว่าจะมีข้อเสนออะไรที่เป็นประโยชน์ที่คนไทยส่วนใหญ่ที่มีความรักสถาบันจะพร้อมเดินทางร่วมไปกับความคิดความฝันของน้องๆ แต่ผมเห็น พฤติการณ์การแสดงออกหลายอย่างในแต่ละค่ำคืนที่น้องรวมตัวกัน ผมคิดว่าน้องกำลัง ทำสิ่งที่เรียกว่า"ปฏิปักษ์" มากกว่า "ปฏิรูป" เมื่อน้องได้ส่งต่อความสะใจที่ไร้ความรับผิดชอบ ออกไปยิ่ง"ไกล" มากเท่าไหร่น้องจงทำใจว่าน้องจะยิ่งเข้า "ใกล้"ความเจ็บใจของคนที่เริ่มทนไม่ไหวที่ทยอยเข้ามาหาเราสักวันหนึ่ง เพราะมันยังคงมีความรู้สึกที่ไม่อาจลบเลือนในใจของคนที่ถูกกระทำ แม้ไม่ใช่พ่อแม่เขาโดนตรง แต่เขารู้สึกไม่ต่างกัน สุขที่สะใจจะนำมาซึ่งทุกข์ที่ยิ่งใหญ่เสมอ ผมยังหวังดีกับน้องเสมอ และรู้ว่าคนรุ่น Gen X อย่างผม มีหน้าที่เดียว