ซีอีโอแอปเปิลแถลง 3 วิธีการเอาชนะใจลูกค้า หวังกู้สถานการณ์สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น หลังประสบภาวะยอดขายไอโฟนลดในไตรมาสล่าสุดที่ผ่านมา
หากยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีแถวหน้าของโลกอย่างแอปเปิล ออกมาบอกเป็นนัยว่ายอดขายและผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของบริษัทอาจจะไม่สวยหรูเหมือนหลายครั้งที่เคยเป็นมานัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน ซึ่งการออกมาแถลงครั้งนั้น ก็สร้างความหวั่นใจให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นพอสมควร โดยหลังจากนั้นเพียงวันเดียว มูลค่าหุ้นแอปเปิลร่วงทันที 10%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลังจากนั้นมูลค่าหุ้นจะค่อย ๆ ปรับขึ้นมาอยู่จุดเดิมของวันที่ 2 มกราคมได้อีกครั้ง นั่นไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นมากนัก เพราะขณะนี้ ราคาหุ่นยังถือว่าต่ำกว่าช่วงต้นเดือนตุลาคม 2018 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลของแอปเปิลกว่า 33 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ในการแถลงผลประกอบการของไตรมาสล่าสุดแอปเปิลระบุว่า บริษัทสามารถทำรายได้ทั้งสิ้น 84,300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ที่ 89,000 ถึง 93,000 ล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากการขายไอโฟนอย่างเดียวลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ รายได้จากสินค้าอื่นนั้นกลับเพิ่มขึ้นมากถึง 16%
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทั้งทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล และลูคา ไมสตรี ซีเอฟโอของบริษัทได้เปิดเผยรายละเอียดของแผนการกู้สถานการณ์ผลประกอบการต่อผู้ถือหุ้นไว้ 3 วิธี เพื่อการเพิ่มยอดขายและกำไรจากสินค้าและบริการของแอปเปิล ในกรณีที่แม้ว่าบรรดาผู้บริโภคทั่วโลกจะยังคงมีกำลังซื้อในปริมาณที่ต่ำเท่าเดิม อันเป็นผลกระทบมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา
อย่างแรกคือ 'บริการที่มากขึ้น' นี่คือสิ่งสำคัญที่แอปเปิลจะพัฒนาเนื่องจากการให้บริการด้านต่าง ๆ นอกเหนือจากการขายสินค้าคือหนทางสร้างรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นบริการการรับประกันอย่าง Apple Care บริการการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์อย่าง iCloud รายได้จากส่วนแบ่งของการให้บริการแอปพลิเคชันต่าง ๆ บน Apple Store รวมไปถึงการขายภาพยนตร์ออนไลน์และเพลงจาก Apple Music อีกด้วย
รายได้จากการให้บริการต่าง ๆ เหล่านี้มีมากถึง 10,900 ล้านดอลลาร์ ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2018 ซึ่งมากถึงกว่าปีก่อนหน้าถึง 19% สวนทางกับรายได้ของสินค้าอย่างไอโฟนและคอมพิวเตอร์แมคบุ๊กทุกรุ่นที่ลดลงไป 7% ไปอยู่ที่ 73,400 ล้านดอลลาร์ โดยผลกำไรจากการให้บริการต่าง ๆ นี้เองทำให้ผู้ถือหุ้นพอใจอย่างมากเพราะเป็นกำไรสุทธิที่สูงถึง 63%
หนึ่งฟังก์ชันเสริมที่หลายฝ่ายให้ความสนใจอย่างมาก ก็คือบริการวิดีโอสตรีมมิงของแอปเปิล ซึ่งทิม คุก กล่าวว่าแพลตฟอร์มการรับชมวิดีโอแบบออนไลน์ที่คลายกับ 'เน็ตฟลิกซ์' นั้นเป็นสื่อยุคใหม่ที่ทางแอปเปิลวางแผนมาแล้วหลายปีว่าจะต้องลงมาเล่นในสนามนี้ด้วย และเขาคาดว่าบริการนี้จะพร้อมเปิดตัวภายในปีนี้ และจะเป็นการมอบประสบการณ์หลากหลายรูปแบบให้กับผู้ชม รวมถึงการร่วมสร้างคอนเทนต์กับคนดังระดับโลก เช่น โอปราห์ วินฟรีย์ และสตีเวน สปีลเบิร์ก ซึ่งมีการเซ็นสัญญาร่วมกันเป็นระยะเวลาหลายปี และจะเป็นการสร้างผลงานที่เป็นของแอปเปิลเอง
วิธีที่สองที่ทิม คุก เสนอคือ 'การปรับราคา' เห็นได้ชัดว่าไอโฟนรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวออกมาช่วงปลายปี 2018 นั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มสมาร์ตโฟนที่มีราคาแพงที่สุดในตลาด ซึ่งมีราคากลางอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ ขณะที่ ไอโฟนสิบเอสแม็กซ์ซึ่งมีขนาดจอใหญ่กว่าปกติมีราคาเริ่มต้นที่ 1,150 ดอลลาร์ ซึ่งทิม คุก ยอมรับว่าปัจจัยด้านราคาที่สูงนี้อาจมีส่วนกระทบยอดขายไอโฟนในไตรมาสล่าสุด แม้ว่าจะไม่ได้ปรับขึ้นจากราคาเมื่อปี 2017 มากก็ตาม
สิ่งที่แอปเปิลต้องการเน้นความสำคัญก็คือการดึงดูดและเอาใจลูกค้าที่มีข้อจำกัดทางการเงิน เช่น มาตรการเอาจริงเอาจังกับการให้ลูกค้าสามารถนำไอโฟนเครื่องเก่ามาเทรดแลกเป็นไอโฟนรุ่นใหม่ หรืออุปกรณ์แอปเปิลชิ้นใหม่ นอกจากนั้น บริษัทแอปเปิลยังพยายามผลักดันวิธีการผ่อนจ่ายให้เกิดขึ้นในหลายประเทศอีกด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคที่อาจจะไม่สามารถจ่ายเงินก้อนใหญ่ได้ในคราวเดียว หรือต้องการผ่อนชำระเพื่อความลื่นไหลทางการเงิน
อีกหนึ่งวิธีที่ชัดเจน ก็คือการประกาศลดราคา iPhone XR ในจีนแล้ว จากเดิมมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5,980 หยวน ปรับเป็นราคาใหม่ 5,380 หยวน และยังมีการแจกคูปองเพิ่มให้ลูกค้าอีก 150 หยวนอีกด้วย ซึ่งการปรับลดนี้เป็นการทำให้ราคามีความใกล้เคียงกับราคาในสหรัฐฯ นั่นเอง และเชื่อว่านี่คือหนึ่งในกลยุทธ์ของการดึงดูดลูกค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนของปีนี้
วิธีสุดท้ายคือการผลักดัน 'ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ' เนื่องจากในปีที่ผ่านมา หนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดหนีไม่พ้นแอปเปิลวอตช์ นาฬิกาอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบความแอ็กทีฟและใส่ใจสุขภาพแบบสุด ๆ ซึ่งนอกจากแอปเปิลวอตช์แล้ว แอปเปิลยังพบว่าอุปกรณ์สำหรับสวมใส่ต่าง ๆ ก็มียอดขายที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหูฟังชนิดมีสายและหูฟังชนิดไร้สาย
ทิม คุก ยืนยันว่าในปัจจุบันผู้ใช้งานได้สัมผัสแค่เพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสินค้าในประเภทนี้เท่านั้น เพราะยังมีฟีเจอร์อีกมากมายที่รออยู่ในอนาคต โดยก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมาหนาหูว่า ฟังก์ชันการใช้งานของหูฟังไร้สายเอียร์พอดรุ่นใหม่จะสามารถตรวจจับสัญญาณด้านสุขภาพต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น การวัดอุณหภูมิร่างกาย และระดับออกซิเจนในเลือด เป็นต้
เขายังได้กล่าวอย่างหนักแน่นในการแถลงอีกด้วยว่าในสายเลือดของความเป็นแอปเปิลนั้น การยืนรอโอกาสและสภาวะทางเศรษฐกิจโลกให้ปรับตัวดีขึ้น ไม่ใช่หนทางที่แอปเปิลจะใช้แก้ปัญหา แต่การสร้างกลยุทธ์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาคือแนวทางที่บริษัทมุ่งมั่นจะทำ ซึ่งการนำเสนอไอเดียในครั้งนี้ของซีอีโอบริษัทแอปเปิลดูท่าจะได้ผลตอบรับที่ดีเลยทีเดียว เพราะหลังการแถลงจบลง มูลค่าหุ้นของแอปเปิลก็พุ่งขึ้นมาอีก 6%