จุดเริ่มต้นของ 'ถนนเยาวราช' ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริม 'ย่านการค้าใหม่' ในกรุงเทพฯ จึงได้มีการสร้างตึกแถวสมัยใหม่ขึ้นสองข้างถนนเพื่อให้คนเช่าทำการค้า เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมซึ่งเคยเป็นย่านที่อยู่อาศัยของประชากรเชื้อสายจีน
เวลาผ่านไปนานกว่าร้อยปี อาจเรียกได้ว่า 'บรรลุเป้าหมาย' ไปไกลมาก เพราะถนนสายนี้กลายเป็นย่านการเงิน การค้า แหล่งรวมร้านทองที่มีมูลค่าสูงติดอันดับต้นๆ ของประเทศ ทั้งยังเป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชาวจีนโพ้นทะเลในไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ฐานข้อมูลของสำนักข่าวรอยเตอร์สที่ 'วอยซ์ออนไลน์' สืบค้นได้ มีภาพประวัติศาสตร์บางตอนของถนนเยาวราชที่ย้อนกลับไปไกลสุดในปี 2515 ซึ่ง 'รอยเตอร์ส' บันทึกว่าชุมชนสองข้างถนนเยาวราชในยุคนั้นเป็นแหล่งรวมสินค้า 'ลักลอบนำเข้า' จาก 'สาธารณรัฐประชาชนจีน' แต่สามารถวางจำหน่ายได้อย่างเปิดเผย โดยวัดจากบรรยากาศช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนปีนั้นที่ดำเนินไปอย่างคึกคัก มีผู้เดินทางมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างต่อเนื่อง
(ภาพจาก REUTERS)
สาเหตุที่รอยเตอร์สรายงานว่าสินค้าจากจีนต้อง'ลักลอบนำเข้า' ในขณะนั้น เป็นเพราะจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่คอมมิวนิสต์ แต่ยังไม่ได้สานสัมพันธ์กับไทยอย่างเป็นทางการ และรัฐบาลไทยเองก็หวาดระแวง 'ลัทธิคอมมิวนิสต์' อย่างหนัก ทั้งยังมีนโยบายใช้กำลังอาวุธปราบปราม 'ผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์' ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม สินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่คนยุคหนึ่งเรียกว่า 'จีนแดง' เป็นสิ่งที่คนจำนวนมากต้องการซื้อหา สินค้าเหล่านี้จึงถูกลำเลียงผ่านทางเรือบรรทุกสินค้ามายังไทย ก่อนจะมาวางจำหน่ายในเยาวราช และสินค้า 'จีนแดง' ก็มีมูลค่าทางการตลาดมากพอที่หอการค้าไทยในขณะนั้นออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดเจรจาการค้ากับรัฐบาลจีนเป็นการเฉพาะ
อีกทั้งความสัมพันธ์ 'ไทย-จีน' ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็มีประวัติศาสตร์เกี่ยวโยงกันทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง จึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดขาดจากกันได้
จนกระทั่งไทยและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการในปี 2518 การติดต่อค้าขาย-แลกเปลี่ยนความร่วมมือในด้านต่างๆ จึงพัฒนาขึ้นตามลำดับ
ข้อมูลเกี่ยวกับ 'ถนนเยาวราช' จากศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช วัดไตรมิตรวิทยาราม ระบุว่า ถนนเยาวราช เป็นพื้นที่ระหว่างถนนเจริญกรุงและถนนสำเพ็ง ซึ่งแต่เดิมเป็น 'ชุมชนแออัดของชาวจีน' และกระทรวงโยธาธิการกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพื่อตัดถนน
จากนั้นพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปลูกตึกแถวให้เช่า เปิดโอกาสให้ชาวจีนจำนวนมากได้เริ่มต้นกิจการของตัวเอง จนกลายเป็นพื้นที่เก็บภาษีอากร 'โรงร้าน' ได้มากที่สุดในประเทศ
(ภาพจาก REUTERS)
เมื่อย่านเยาวราชเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญ จึงมีผู้ประกอบอาชีพที่หลากหลาย และในวิดีโอของรอยเตอร์สซึ่งบันทึกไว้ช่วงปี 2518-2521 พบว่าอาชีพที่พบเห็นได้ทั่วไปในย่านเยาวราช (ไม่รวมเจ้าของกิจการร้านค้า) ก็คือ 'จับกัง' ซึ่งแม้จะมีความหมายที่แท้จริงว่า "ผู้ที่ทำงานได้หลายอย่าง" แต่คนในสังคมไทยจำนวนมากใช้คำนี้เรียกกรรมกร หรือแรงงานรับจ้างแบกหามสินค้า
อีกอาชีพหนึ่งที่มีสีสันและไม่มีให้เห็นอีกแล้วในเยาวราชยุคศตวรรษที่ 21 คือ อาชีพ 'หมองู' ซึ่งรอยเตอร์สบันทึกวิถีชีวิตของ Kua Kwang Chong ชายเชื้อสายจีนรายหนึ่ง ผู้มีอาชีพขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ช่วงวันจันทร์ถึงศุกร์ และเป็น 'หมองู' ในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเขาเลือกตั้งโต๊ะเรียกลูกค้าริมถนนในเยาวราช เพื่อจำหน่าย 'ดีงู' 'เลือดงู' และ 'เนื้องู' ให้แก่ผู้ที่ต้องการ
(ภาพจาก REUTERS)
งูที่เขาเลือกมาขายก็คือ 'งูเห่า' โดยอ้างว่า 'ดีงูเห่า' มีสรรพคุณบำรุงสายตา เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ กระตุ้นเลือดลม อ้างอิงจากความรู้ประจำตระกูลที่สืบทอดกันมา ซึ่งรอยเตอร์สระบุว่า ไม่อาจพิสูจน์คำกล่าวอ้างนี้เป็นจริงหรือไม่
วิธีการ 'เสนอขาย' เริ่มจากการนำงูเห่าเป็นๆ มากรีดลำตัวและใช้แก้วรองเลือดที่หยดออกมา จากนั้นจึงใช้มีดปาดดีงูสดๆ มาให้ 'ลูกค้า' กลืนลงท้องไปพร้อมกับเหล้าขาวดีกรีแรง หลังจากนั้นจะนำเนื้อและหนังงูไปขายให้แก่ร้านอาหารหรือผู้นิยมรับประทานเนื้องู
สนนราคาของดีงูและเลือดงูอยู่ที่ 120 บาท ส่วนหนังงูและเนื้องูที่เหลือ ราคาประมาณ 40 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของงู
(ภาพจาก REUTERS)
อาชีพนี้เคยมีอยู่ในเยาวราช (และอาจจะที่อื่นๆ ของไทย) แต่ปัจจุบันไม่สามารถทำได้ เพราะการกระทำเช่นนี้จะเข้าข่ายละเมิดกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ซึ่งการซื้อขายงูเห่าจะเข้าข่ายความผิดในข้อหาค้าสัตว์ป่าด้วย
สีสันของเยาวราชในปัจจุบันยังเกี่ยวพันกับความเป็นจีน ทั้งวิถีชีวิต ความเชื่อทางศาสนา และวัฒนธรรมต่างๆ รวมถึงการเป็นย่านธุรกิจการค้าและการเงิน ทั้งยังเป็นดัชนีชี้วัดกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ตรุษจีน กินเจ ในแต่ละปีอีกด้วย
ขณะที่ 5 ปีกว่าที่ผ่านมา ย่านเยาวราชได้รับการส่งเสริมในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวและย่านถนนคนเดินซึ่งถูกตั้งเป้าให้เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ร่วมโครงการ 'ชิมช้อปใช้' ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปีที่แล้ว
ภาครัฐคาดหวังด้วยว่า 'เยาวราช' จะได้รับอานิสงส์จากโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จากสถานีหัวลำโพง-สถานีบางแค ซึ่งทำให้การเดินทางไปย่านนี้สะดวกง่ายดายขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องการจราจรหนาแน่น และไม่ต้องพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว
แต่จากการลงพื้นที่สำรวจของ 'ทีมข่าวเศรษฐกิจ วอยซ์ออนไลน์' เมื่อปลายปี 2563 เจ้าของร้านค้าในย่านนี้ระบุว่า คนมาเดินเยอะขึ้น แต่ไม่ได้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีเงิน ขณะที่ผู้ค้าบางรายระบุว่า การจัดระเบียบร้านค้าในย่านเยาวราชที่รัฐบาลผลักดันช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ธุรกิจค่อนข้างซบเซาไปกว่าเดิม
นอกจากนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ซึ่งลงพื้นที่สำรวจความเป็นอยู่ของผู้ค้าและประชาชนในย่านเยาวราชช่วงปลายปีที่แล้ว ระบุว่ามีผู้ค้าในเยาวราชร้องเรียนเรื่องชาวต่างชาติเข้ามาแบบผิดกฎหมาย และลักลอบนำสินค้าเข้ามาขายตัดราคาผู้ค้าในย่านเยาวราชและสำเพ็ง โดยสาเหตุที่ขายสินค้าได้ถูกกว่าเพราะลักลอบนำเข้า ไม่ได้เสียภาษี ทั้งยังไม่เสียค่าเช่า จึงเป็นการซ้ำเติมผู้ค้าในพื้นที่อีกระลอกหนึ่ง
ส่วนเทศกาลตรุษจีนปี 2563'เยาวราช' เป็นอีกย่านหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ 'เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่' ซึ่งมีต้นทางจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีน เพราะองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่า การเดินทางของประชากรชาวจีนไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกในช่วงก่อนและระหว่างเทศกาลตรุษจีน อาจทำให้มีผู้ติดเชื้อนี้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยืนยันว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แล้ว ส่วนที่อื่นๆ ได้แก่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สิงคโปร์ และเวียดนาม
ภาพปก: Waranont (Joe) on Unsplash