ไม่พบผลการค้นหา
พี่น้องตระกูล 'จารวิจิต' ประกอบด้วยนายธนสิทธิ์ จารวิจิต นางสาวสุพิชฌาย์ จารวิจิตร และจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม ดารานักแสดง ร่วมกันแถลงข่าวยืนยันความบริสุทธิ์ ลั่นพร้อมสู้คดี ไม่คิดหนี ขอให้กระบวนการยุติธรรมทำงาน วอนเห็นใจพ่อแม่ถูกสังคมพิพากษามีลูกฉ้อโกง

นายธนสิทธิ์ จารวิจิต น้องชายนายปริญญา จารวิจิตร ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาเลขที่ 1693/2561 ลงวันที่ 26 ก.ค. 2561 ข้อหาร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันฉ้อโกง เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (30 ต.ค.) ตนจะเข้าพบเจ้าหน้าที่กองปราบปรามฯ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาคดีฟอกเงิน ขณะที่บิดาและมารดาคือ นายวิสิทธิ์ จารวิจิตร และนางเลิศฉัตรกมล จารวิจิตรก็ต้องเข้าพบเจ้าหน้าที่กองปราบฯ ในวันถัดไป (1 พ.ย.) เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาคดีฟอกเงิน เช่นกัน

ทั้งที่ ตั้งแต่เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาพี่ชาย (นายปริญญา จารวิจิตร) น้องสาว (น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิตร) และน้องชาย (จิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม ดารานักแสดง) ในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน เนื่องจากนายเออาร์นี่ โมตาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ อายุ 21 ปี แจ้งความฟ้องร้องนายปริญญากับพวกร่วมกันฉ้อโกงจากการร่วมลงทุนเงินบิทคอยน์มูลค่าประมาณ 797 ล้านบาท ขณะนั้น ตนยังไม่ได้ถูกตั้งข้อหา ไม่ได้ถูกหมายจับ 

แต่วันนี้ครอบครัวได้รับผลกระทบ น้องชายที่เป็นนักแสดงถูกยกเลิกงาน น้องสาวได้รับความเสียหาย พ่อแม่ซึ่งอายุมากแล้วก็ได้รับผลกระทบ ขณะที่นายปริญญา อยู่ในห้องขัง ยังไม่ได้รับการอนุญาตประกันตัว ทั้งที่ทุกคำถามในคดีนี้ ทั้งเรื่องเส้นทางการเงินที่นายปริญญาโอนเข้าบัญชีพ่อแม่พี่น้อง เรื่องการร่วมลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลกับนายเออาร์นี่ คนที่ตอบได้ดีที่สุดคือ นายปริญญา


"ตอนนี้คนที่จะตอบได้ทุกคำตอบคือ คุณปริญญา แต่เขายังอยู่ในการควบคุมตัวจากเจ้าหน้าที่ ไม่ได้รับการประกันตัวออกมาต่อสู้คดี ส่วนผู้เสียหาย คู่กรณี คือนายอาร์นี่ เป็นคนหนุ่มวัย 21 ปี ที่มีแฟนสาวชาวไทย ซึ่งอายุเท่าๆ กัน แต่เขามีเงินเกือบพันล้านบาท เขาอายุเท่านี้ ไม่สงสัยกันหรือครับว่า เขาเอาเงินมาจากไหน" นายธนสิทธิ์ กล่าว


อย่างไรก็ตาม นายธนสิทธิ์ ยืนยันว่าครอบครัวตนบริสุทธิ์ และถ้าครอบครัวจะโกงอาร์นี่จริง ทุกวันนี้พ่อแม่ตนไม่ต้องไปซื้อของสดที่ตลาดศรีราชาทุกเช้าเพื่อมาทำอาหารขายที่ภัตตาคารของครอบครัวมาร่วม 30-50 ปี วันนี้พ่อแม่ก็ยังอยู่ที่ศรีราชา ไม่ได้หนีไปไหน ส่วนกรณีนายปริญญาในช่วงแรกนับตั้งแต่วันที่ตำรวจออกหมายเรียก ตนได้คุยกับนายปริญญาเป็นระยะๆ ตลอดเวลาที่นายปริญญาอยู่สหรัฐฯ และติดต่อกับตำรวจเป็นระยะๆ เพื่อเตรียมเดินทางกลับเข้ามามอบตัว เพราะเราต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์

นายธนสิทธิ์ ยอมรับว่าในหมู่พี่น้องทั้ง 4 คน ตนและนายปริญญาคือคนที่รู้จักนายอาร์นี่ อีกทั้งตนยังมีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล หรือเงินดิจิทัล มาบ้าง แต่กรณีที่นายอาร์นี่กล่าวหานั้น ต้องขอต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป ส่วนที่จะฟ้องร้องนายอานี่ย์กลับ จากการทำให้ครอบครัวเสียชื่อเสียงหรือไม่ นายธนสิทธิ์ ระบุว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของทีมทนาย ซึ่งขณะนี้ปรึกษากันอยู่


“ครอบครัวจารวิจิต เราไม่ใช่อาญชากร เราไม่ได้ทำธุรกิจผิดกฎหมาย” นายธนสิทธิ์ กล่าว



ครอบครัวจารวิจิต-เงินดิจิทัล-นักแสดง

ด้านนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม ดารานักแสดง กล่าวว่า ตั้งแต่ถูกจับตั้งแต่ 8 ส.ค. 2561 และได้รับการประกันตัวออกมาด้วยเงินประกัน 2 ล้านบาท ตนขอยืนยันว่า ตนยังไม่เคยคุยกับนายอาร์นี่เลย แม้จะมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ตนเดินทางไปทานข้าวกับพี่ชาย (นายปริญญา) โดยที่โต๊ะอาหาร พบกับนายอาร์นี่และกลุ่มนักลงทุน ที่ร่วมลงทุนกับพี่ชาย แต่ขอยืนยันว่า ตนไปทานข้าวเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะถูกแจ้งข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน

พร้อมกับเล่าว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ กระทบกับหน้าที่การงานของตน เพราะถูกยกเลิกงานโฆษณา 2 ตัว งานซีรีส์ที่มีแผนที่จะถ่ายทำก็ถูกถอดออกจากทีมนักแสดง ขณะที่ครอบครัวพ่อแม่ที่ทำงานหนักค้าขายมาตลอดชีวิต ก็ถูกตั้งข้อหาฟอกเงิน ทั้งที่พ่อแม่มีเงินทองมาก่อนที่จะมีคดีความที่นายอาร์นี่ฟ้องร้องด้วย อีกทั้งพ่อแม่ยังไม่ทราบเรื่องการลงทุนในตลาดทุนตลาดเงินดิจิทัลด้วยซ้ำ 

"ตอนนี้ผมเป็นกังวลมาก เพราะ วันที่ 1 พ.ย. นี้ เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณแม่ ขณะที่กองปราบฯ ติดต่อมาให้พ่อแม่ผมไปรับทราบข้อกล่าวหา ในวันเกิดของแม่ผม คือ ผมถามนะครับในฐานะที่เราเป็นลูกและทำอะไรไม่ได้ มันรับไม่ได้ แล้วทำไมพ่อแม่ผมต้องมารับเรื่องนี้ ตอนนี้ผมกลัวเขาไม่ได้ประกันตัว แต่เรายืนยันเราเชื่อในกระบวนการยุติธรรม เราพร้อมต่อสู้คดี และไม่หนีอย่างแน่นอน จึงขอวอนให้ทุกฝ่ายให้มีสิทธิ์เราต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ด้วย" นายจิรัชพิสิษฐ์ กล่าว 


ครอบครัวจารวิจิต-เงินดิจิทัล-นักแสดง

น.ส.สุพิชฌาย์ (ชุดเขียว) , นายจิรัชพิสิษฐ์ (เสื้อขาว), นายธนสิทธิ์ (เน็กไทสีฟ้า)

น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิตร กล่าวว่า ตอนที่รู้ว่าโดนหมายจับ ก็รู้จากสื่อในมือถือ ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกันมา เพราะไม่เคยไปชักชวนใครทำธุรกิจเลย ขอยืนยันว่า ไม่ได้หนี พอเจอข่าวก็พยายามติดต่อครอบครัว ติดต่อทน���ย ถามเพื่อน ยืนยันไม่เคยพบผู้เสียหาย (นายอาร์นี่) ไม่เคยพบ ไม่เคยคุย แต่ที่ยังไม่ได้เข้าพบตำรวจทันทีที่มีหมายเรียก เพราะต้องการเวลาเตรียมตัว ซึ่งระหว่างนั้นติดต่อทนายให้แจ้งตำรวจตลอด หลังจากน้องชาย (นายจิรัชพิสิษฐ์) ถูกจับเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2561 ตนก็เข้ามอบตัววันที่ 15 ส.ค. 2561 จนได้รับการประกันตัวออกมา  

"ดิฉันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าคนที่มาร่วมลงทุนกับพี่ชายมาก่อน และไม่ทราบเรื่องธุรกิจของพี่ชาย จนกระทั่งมาอ่านในสำนวนคดี และโดยส่วนตัวมั่นใจมากว่าเราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะหุ้นเราก็ไม่เล่น บิทคอยน์เราก็รู้เท่ากับคนอื่นทั่วไป แต่ในข่าวบอกลูก 3 คนของเตี่ยกับแม่ร่วมกันหลอกลวง ถูกตราหน้าเป็นพ่อแม่คนโกง ทั้งที่น้องชายเป็นนักแสดง ดิฉันเป็นนักธุรกิจ ส่วนพี่ชายเป็นนักลงุทน ครอบครัวเราก็มีฐานะมาอยู่แล้ว เพราะเตี่ยกับแม่เป็นคนทำงานหนักสร้างธุรกิจมา แต่วันนี้เราถูกพาดพิงว่าร่วมฉ้อโกง ตอนนี้เรียกได้ว่า เตี้ยกับแม่ตรอมใจ" น.ส.สุพิชฌาย์ กล่าว

สำหรับปมเรื่องเส้นทางการเงินที่นายปริญญาโอนเข้าบัญชีพ่อแม่ น้องชาย น้องสาว นั้น ทีมทนายความยืนยันว่า มีเอกสารและคำอธิบายทุกข้อกล่าวหา แต่ขอนำหลักฐานยื่นแสดงต่อศาลให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดเผยสู่สาธารณชนผ่านสื่อมวลชน 

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดจากนายเออาร์นี่ โมตาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ อายุ 21 ปี นักลงทุนในตลาดเงินดิจิทัล แจ้งความนายปริญญา และพวกในคดีฉ้อโกงที่ศาลแขวงดุสิต มาตั้งแต่เดือน มี.ค. 2561 ต่อมาในเดือน ส.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือ บูม ซึ่งมีอาชีพนักแสดง และเป็นน้องชายนายปริญญา ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและฟอกเงิน จนเกิดความเสียหายแก่นายเออาร์นี่ประมาณ 797 ล้านบาท 

ในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ตำรวจได้ออกหมายจับ น.ส.สุพิชฌาย์ (น้องสาวนายปริญญา) ซึ่งต่อมาเข้ามอบตัวเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ส่วนนายปริญญา ถูกจับกุมหลังกลับจากสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา และขณะนี้นายปริญญาอยู่ระหว่างถูกคุมขัง 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :