ไม่พบผลการค้นหา
หนังเกี่ยวกับบริษัทธุรกิจเช่าคนในญี่ปุ่น ที่ไม่ได้ถ่ายทำแบบสารคดี แต่เป็นฟิคชั่นที่ชวนให้ขบคิดยิ่งกว่าว่าอะไร "จริง" บ้างกันแน่

หากจะต้องจัดอันดับ ‘สุดยอดคนทำหนังตลอดกาล’ ผู้เขียนเชื่อว่าชื่อของผู้กำกับชาวเยอรมัน แวร์เนอร์ แฮร์โซก (Werner Herzog) สมควรจะติดอันดับด้วย แฮร์โซกเริ่มทำหนังตั้งแต่ยุค 60 มีหนังดังเช่น Aguirre, the Wrath of God (1972) และ Nosferatu the Vampyre (1979) เขาขึ้นชื่อเรื่องวีรกรรมอันบ้าคลั่งนับไม่ถ้วน เช่น สะกดจิตหมู่นักแสดงตอนถ่ายเรื่อง Heart of Glass (1976) หรือขนเรือหนัก 300 ตันขึ้นภูเขาเพื่อถ่ายทำหนัง Fitzcarraldo (1982)

นอกจากหนังฟิคชันแล้ว แฮร์โซกยังโด่งดังจากทำหนังสารคดี เรียกได้ว่าเขาทำมาแล้วแทบทุกประเด็น ไล่ตั้งแต่ นักอนุรักษ์หมีที่ดันถูกหมีฆ่าตาย-Grizzly Man (2005), ลุยไปขั้วโลกใต้-Encounters at the End of the World (2007), สำรวจถ้ำเก่าแก่-Cave of Forgotten Dreams (2010), นั่งคุยกับนักโทษประหาร- Into the Abyss (2011) ไปจนถึงผลกระทบของอินเทอร์เน็ตต่อมนุษยชาติ-Lo and Behold, Reveries of the Connected World (2016)

03.jpg

Family Romance, LLC เป็นผลงานปี 2019 ของแฮร์โซกที่ว่าด้วยธุรกิจ ‘เช่าคน’ ในประเทศญี่ปุ่น คุณสามารถเช่าเพื่อนไปกินข้าว, เช่าให้คนมาเป็นพ่อเป็นแม่ในงานแต่งงาน, เช่าคนมานอนเป็นศพในงานศพ ฯลฯ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่ประเด็นแปลกใหม่อะไรแล้ว มีหนังหรือสกู๊ปข่าวมากมายเกี่ยวกับธุรกิจนี้ อาทิ สารคดีเรื่อง Rent a Family Inc. (2012), คลิปสัมภาษณ์ของ AsianBoss หรือกระทั่งพิธีกรชื่อดังอย่าง โคแนน โอ ไบรอัน ก็เคยลองเช่าคนมาเป็นสมาชิกครอบครัวของเขา

อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจของ Family Romance, LLC อยู่ตรงที่แฮร์โซกไม่ได้ทำมันเป็นหนังสารคดี แต่เขาทำมันเป็นหนังฟิคชัน ด้วยการให้ ยูอิจิ อิชิอิ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเช่าคน Family Romance มารับบทเป็นผู้ชายที่ถูกจ้างให้เป็นพ่อของเด็กสาวอายุ 12 และบรรดานักแสดงทั้งหมดในเรื่องนี้ก็ล้วนเป็นพนักงานของ Family Romance ทั้งนั้น มันจึงเป็นการซ้อนทับของ "คนที่ทำอาชีพแสดงเป็นคนอื่น ที่ต้องมาแสดงหนังที่ว่าด้วยคนที่แสดงเป็นคนอื่น" (โอ๊ย งง)  

ตัวเรื่องของ Family Romance, LLC โดยหลักแล้วว่าด้วยกิจกรรมระหว่างอิชิอิกับมาฮิโระ-ลูกสาวปลอมๆ ของเขา ทั้งคู่ไปเดินสวนสาธารณะ ชมดอกซากุระ ถีบเรือเป็ด หากแต่ด้วยการถ่ายทำแบบสมจริงสไตล์กล้องตามถ่ายไปเรื่อยๆ ผู้ชมหลายคนอาจสับสนว่านี่คือ ‘หนัง’ หรือ ‘สารคดี’ กันแน่ นอกจากนั้นก็ยังมีชุดเหตุการณ์ชวนเหวออื่นๆ เช่น ผู้หญิงที่จ้างคนมาเป็นปาปารัสซีรุมถ่ายรูปเพราะเธออยากรู้สึกเป็นคนดัง หรือหญิงสาวอีกรายที่จ้างให้อิชิอิและพรรคพวกมาเซอร์ไพรส์เธอที่บ้านว่าเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัลใหญ่

แฮร์โซกให้สัมภาษณ์ว่าผู้ชมบางคนเข้าใจผิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นสารคดีแท้ๆ หากแต่ทุกซีนในหนังล้วนเป็นเรื่องแต่ง เป็นการเซ็ตถ่ายทำขึ้นมา โดยแฮร์โซกรับหน้าที่เป็นตากล้องด้วยตัวเอง เขาเลือกใช้กล้องตัวเล็กที่ไม่มีใครสังเกต เพื่อให้เอื้อกับการถ่ายทำแบบกองโจร (เนื่องจากการขออนุญาตถ่ายทำในญี่ปุ่นนั้นเต็มไปด้วยความยุ่งยาก) นำมาซึ่งฉากชวนทึ่งที่ถ่ายกันบริเวณชานชาลารถไฟชินคันเซ็นที่ปกติมีการรักษาความปลอดสูง แฮร์โซกเล่าว่าเขามีโอกาสถ่ายฉากนี้เพียงครั้งเดียวในชีวิต เพราะพอเริ่มถ่ายไปสักพักบรรดาเจ้าหน้าที่ก็มารุมล้อมทันที  

01 (1).jpg

นอกจากสไตล์ของหนังที่พร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างหนังฟิคชันกับสารคดีแล้ว ตัวเนื้อหาของ Family Romance, LLC ก็ตั้งคำถามเรื่องนี้เช่นกัน ความรู้สึกที่มาฮิโระมีต่ออิชิอิเริ่มลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอรักเขาในฐานะ ‘พ่อสมมติ’ หรือ ‘ผู้ชายคนหนึ่ง’ กันแน่ แล้วทำไมเธอถึงยังรักเขาทั้งที่รู้ดีว่าชายคนนี้ถูกจ้างมาเป็นพ่อและทำดีต่อเธอ แฮร์โซกพยายามตั้งคำถามว่าอะไรในชีวิตของเราบ้างที่เป็นเรื่องจริง และอะไรบ้างที่เป็นของปลอม หรือว่าชีวิตเรานั้นล้วนประกอบสร้างด้วยความปลอม อย่างในฉากหนึ่งที่อิชิอิพูดขึ้นมาอย่างน่าขนลุกว่า “บางทีผมก็สงสัยว่าครอบครัวจริงๆ ของผมนั้นเป็นคนที่ถูกจ้างมาหรือเปล่า”

แฮร์โซกยังทำให้หนังของเขาคมคายขึ้นด้วยการใส่ฉากที่อิชิอิไปเจอกับคนทรง และอีกฉากสำคัญที่เขาไปเข้าพักโรงแรมหุ่นยนต์ ทั้งคนทรงและปัญญาประดิษฐ์ต่างมีจุดร่วมกันตรงที่เป็น ‘บรรจุภัณฑ์’ ของมนุษย์ (คนตายไปแล้วสื่อสารผ่านทางคนทรง ส่วนเอไอถูกใส่ความคิดความรู้สึกแบบมนุษย์ลงไป) เช่นนั้นแล้วหนังจึงไปไกลถึงขั้นใคร่ครวญเรื่องการดำรงอยู่ของมนุษย์ อะไรกันแน่ที่เรียกว่ามนุษย์ที่แท้จริง วัดกันที่ตรงไหน หากบอกว่าวัดที่จิตวิญญาณ แล้วนิยามของจิตวิญญาณคืออะไรกันแน่

ช่วงท้ายของหนังกลับมาที่เรื่องครอบครัวอีกครั้ง เมื่ออิชิอิกลับบ้านไปหาครอบครัวแท้จริงของเขา มันเป็นฉากที่ถ่ายทำอย่างง่ายๆ แต่ด้วยการจัดองค์ประกอบภาพและความชาญฉลาดของการใช้พร็อพ มันก็ทำให้ฉากนี้ส่งผลรุนแรงต่อความรู้สึกของผู้ชม ถึงขั้นที่เราอาจจะไม่แน่ใจว่าอะไรในหนังบ้างที่จริงหรือปลอม แต่ความหลอกหลอนในฉากสุดท้ายเป็น ‘ความจริง’ แน่นอน และชวนให้นึกถึงสิ่งที่แฮร์โซกกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ว่า “ผมเคยพูดตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วว่า-ศตวรรษที่ 21 จะเป็นยุคสมัยแห่งความโดดเดี่ยว”

**หมายเหตุ: สามารถชมภาพยนตร์เรื่อง Family Romance, LLC ได้ฟรีทาง https://mubi.com/films/family-romance-llc