ไม่พบผลการค้นหา
โฆษกกองทัพเรือ แจงการเสนอใช้พื้นที่กรมป่าไม้ ได้รับอนุญาตมาแล้ว 30 ปี  ย้ำการเผยแพร่ข้อมูลลับทางราชการ ไม่สมควรนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันบนสื่อสาธารณะ

พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสธนาธิการทหารเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีที่มีการนำเอกสารของกองทัพเรือ ที่เสนอผ่านกรมป่าไม้ มาเผยแพร่ทางสื่อสาธารณะ ว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ เกี่ยวกับที่ตั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางทหาร และบัญชีพิกัดเป้าหมายสำคัญทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติต่อการถูกโจมตีเป็นอันดับแรก เมื่อเกิดความไม่สงบ จากการที่มีบุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้รับทราบรับรู้ความเข้าใจอย่างครบถ้วน ต่อแนวนโยบายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ แล้วนำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน บนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน นั้น เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการละเมิด หรือการเปิดเผยความลับของทางราชการ เป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีกองทัพเรือขอขอบคุณสำหรับข้อห่วงใยที่ฝ่ายต่างๆ นำเสนอไว้ในข่าว

ขอเรียนให้มั่นใจได้ว่า กองทัพเรือเอง ซึ่งก็เป็นหน่วยหนึ่งที่มีบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขอดำเนินการใดๆที่ขัดแย้งต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งบนบกและในทะเลที่กองทัพเรือได้ให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกับกรมป่าไม้ มาเป็นอย่างดีและต่อเนื่องมาโดยตลอด 

อาทิ การที่กองทัพเรือได้จัดกำลังพล ยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะเรือรบ อากาศยาน อุปกรณ์สื่อสารบนบก และในทะเล ระยะไกล การได้รับการมอบหมายให้เป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามกฏหมายว่าด้วยป่าไม้และกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนงบประมาณของกองทัพเรือ เพื่อใช้ในการดำเนินงานอนุรักษ์ป่าไม้ ความร่วมมืออื่นที่กองทัพเรือเข้าดำเนินการ กับกรมป่าไม้มาอย่างแน่นแฟ้น ดังที่ปรากฎทางข่าวสารตลอดในหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามการบุกรุก ทำลายทรัพยากรป่าไม้ทั้งบนบก ตามแนวชายฝั่ง และบนเกาะในทะเล การป้องกันและบรรเทาพิบัติภัยธรรมชาติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การป้องกันและควบคุมไฟป่า ตั้งแต่การใช้อากาศยานของกองทัพเรือแบบ CL -215 บุกเบิกการดับไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาอย่างได้ผลดียิ่งมาแต่อดีต จนถึงปัจจุบันที่ได้นำ เฮลิคอปเตอร์แบบ Sea Hawk มาใช้แทนในปัจจุบัน

“กองทัพเรือ ขอย้ำให้ทราบว่าที่มีหนังสือไปตามข่าวที่ปรากฎนั้น ก็เพราะที่เคยขอใช้ประโยชน์พื้นที่ไว้เดิมจะหมดอายุ ซึ่งก็เป็นการดำเนินการทางธุรการในการขอใช้ประโยชน์ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลมาแต่อดีต จึงไม่ใช่จะนำมาปกป้องอีอีซี เพราะต่อให้ไม่มีอีอีซี กองทัพเรือก็ต้องมีหน่วยป้องกันสนามบินอู่ตะเภาซึ่งเป็นสนามบินของ ทร. เหมือนกับ ทอ. ที่ต้องมีหน่วยทหารต่อสู้อากาศยานป้องกันสนามบินต่างๆ” โฆษกกองทัพเรือ กล่าว

พล.ร.ท.ประชาชาติ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาทางกองทัพเรือได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่านี้มา 30 ปี แล้ว ในการซ่อนพรางหน่วย ซ่อนพรางยุทโธปกรณ์ และเป็นพื้นที่ฝึกป้องกันภัยทางอากาศ ให้แก่สนามบินอู่ตะเภา และในส่วนที่ขอเพิ่มนั้น เนื่องจากความจำเป็นด้านนิรภัยการบิน ในการก่อสร้าง รันเวย์ หมายเลข 2 ของสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งสัมพันธ์กับความสูงและเนื้อที่ขอบเขตของเขาโกรกตะแบก ซึ่งตั้งประชิดอยู่บริเวณหัวรันเวย์

“ด้วยข้อเท็จจริงตามเหตุผลที่ได้ชี้แจงมาแล้วข้างต้น กองทัพเรือใคร่ขอให้การเสนอข่าว หรือให้ความคิดเห็นของทุกฝ่ายที่ปรารถนาดี โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปให้กรุณารับฟังจากผลการพิจารณา ตามกระบวนการของทางราชการ ซึ่งจะประกอบไปด้วยหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และคณะทำงานที่สามารถเข้าถึงข้อมูลด้านความมั่นคง และนโยบายของรัฐบาลที่เป็นชั้นความลับ ไม่สมควรนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันบนสื่อสาธารณะ จนอาจเกิดการละเมิดหรือส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ” พล.ร.ท.ประชาชาติ กล่าว

ศรีสุวรรณ สวน 'ทัพเรือ' ขอใช้พื้นที่ป่า 4,600 ไร่ต้องทำประชามติเสียก่อน

ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่าตามที่โฆษกกองทัพเรือได้ออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าวนั้น ตนเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์และท้วงติงของประชาชนเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถทำได้ ตาม ม.78 ประกอบ ม.257 หากกองทัพเรือยังคงใช้เงินจากภาษีของประชาชนอยู่ และประชาชนย่อมตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐได้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ไม่มีหน่วยงานใดหรือผู้ใดมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญได้ แม้แต่ทหาร หรือกองทัพเรือ และที่สำคัญอย่างดูถูก ดูแคลนประชาชนว่าไม่รับรู้ รับทราบ หรือไม่เข้าใจแนวนโยบายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ เพราะเชื่อว่าคนไทยทั้ง 66 ล้านคนถ้าไม่ได้กินกินแกลบหรือกินหญ้า ย่อมรู้ดีกว่าการพัฒนาสังคมและประเทศชาติในยุค 4.0 นั้นต้องคำนึงถึงอะไรเป็นลำดับต้น ๆ 

ข้ออ้างของกองทัพเรือที่ว่า ที่ผ่านมากองทัพเรือได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่านี้มา 30 ปีแล้วเพื่อใช้เป็นพื้นที่ฝึกป้องกันภัยทางอากาศ ให้แก่สนามบินอู่ตะเภานั้น เรื่องดังกล่าวเป็นอดีตไปแล้ว ในขณะนี้สนามบินอู่ตะเภาถูกแปรเปลี่ยนเป็นสนามบินเพื่อการพาณิชย์ โดยเปิดให้กลุ่มนายทุนเข้ามาสัมปทานเบ็ดเสร็จไปแล้ว การเอาเงินภาษีของประชาชนมาตั้งเป็นหน่วยทหารต่อสู้อากาศยานป้องกันสนามบินก็คือการปกป้องธุรกิจของเอกชนใช่หรือไม่ และที่สำคัญการขอเพิ่มพื้นที่จาก 2,558 ไร่เป็น 4,600 ไร่ ไม่มีความจำเป็นใด ๆ เพราะพื้นที่แนวนิรภัยการบินนั้น เขามีไว้ห้ามสร้างตึกหรืออาคารสูงเท่านั้น ซึ่งเมื่อเป็นพื้นที่ป่าสงวนฯจะไปมีตึกอาคารสูงเกิดขึ้นได้อย่างไร นอกจากจะกันพื้นที่ไว้เพื่อสร้างบ้านรับรองให้กับนายทหารระดับสูงจะได้มีวิวสวยๆเหมือนที่ภูเขาสัตหีบ แล้วปักป้ายว่า “เขตทหารห้ามเข้า” ใช่หรือไม่

ทั้งนี้เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติตาม รัฐธรรมนูญ 2560 ม.65 นั้นกองทัพเรือเข้าใจหรือไม่ว่าการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงด้วย ดังนั้น หากกองทัพเรือประสงค์จะอยากได้ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติในจังหวัดระยองกว่า 4,600 ไร่มาใช้เพื่อกิจการกองทัพจริงๆ ก็ขอได้โปรดให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการออกเสียงประชามติ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงจะถือว่าชอบ ถ้าทำไม่ได้ก็ขอได้โปรดพับแผนพับโครงการดังกล่าวไปเสีย เพราะประชาชนยุคนี้เขารู้ทันทหารหมดแล้ว

อ่านเพิ่มเติม