ไม่พบผลการค้นหา
ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ต่อมาตรการพักหนี้ หลังครบกำหนด 22 ต.ค.นี้ ให้เน้นช่วยเฉพาะรายแทน ยอมรับลูกหนี้กว่า 57,000 ล้านบาท ติดต่อไม่ได้

รุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายเสถียรภาพระบบการเงินและยุทธศาสตร์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า มาตรการผ่อนผันให้ลูกหนี้เอสเอ็มอีที่ได้รับการพักหนี้ตามพระราชกำหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ที่วงเงินกู้ไม่ถึง 100 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนด 6 เดือน ในวันที่ 22 ต.ค. นี้ จะไม่ได้รับการต่ออายุมาตรการพักชำระหนี้เป็นการทั่วไปดังกล่าว 

ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากการให้สถาบันการเงินช่วยเหลือเป็นการทั่วไป เป็นการให้ความช่วยเหลือเชิงรุก และตรงจุดที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกหนี้แต่ละราย (Targeted) ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือที่ไม่ได้ครอบคลุมลูกหนี้ทุกราย แต่เป็นการช่วยเหลือแบบเฉพาะเจาะจง ตรงลักษณะปัญหาของลูกหนี้ หรือการฟื้นตัวของรายได้ของลูกหนี้มากขึ้น โดยหากยังคงดำเนินมาตรการพักหนี้เป็นการทั่วไปต่อ อาจส่งผลกระทบทางลบในระยะยาวได้ เนื่องจากลูกหนี้ที่พักหนี้อยู่จะยังคงมีภาระดอกเบี้ยในแต่ละเดือนตลอดช่วงการพัก ซึ่งเป็นภาระแก่ลูกหนี้ในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการไม่ส่งเสริมให้เกิดวินัยทางการเงิน (morat hazard) เพราะลูกหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบไม่มาก อาจอาศัยเป็นช่องทางเพื่อประวิงเวลาการชำระหนี้

นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน เพราะการพักหนี้เป็นการทั่วไป เป็นระยะเวลานาน คาดว่าจะทำให้สภาพคล่องในระบบจากการชำระคืนหนี้และดอกเบี้ยหายไปประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี ดังนั้นกลุ่มลูกหนี้ที่ยังมีรายได้เพียงพอที่จะชำระคืนหนี้ ควรชำระหนี้ตามปกติหลังหมดมาตรการ เพราะนอกจากจะช่วยลดภาระหนี้แล้ว ยังจะทำให้สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น เพื่อปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ยังได้รับผลกระทบอยู่ ส่วนลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ โดยเฉพาะรายที่สถาบันการเงินยังติดต่อไม่ได้ ควรรีบติดต่อสถาบันการเงินเพื่อรับความช่วยเหลือที่เหมาะสมภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2563

ทั้งนี้ ธปท. ได้ออกประกาศให้สถาบันการเงินคงสถานการณ์จัดชั้นลูกหนี้ถึงสิ้นปี 2563 (stand still) สำหรับลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างเจรจาปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ เพื่อช่วยไม่ให้ลูกหนี้กลายเป็นหนี้เสีย (NPL) ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้สถาบันการเงินเร่งดำเนินการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ อีกทั้งขณะนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อให้ทราบว่ามีภาคธุรกิจไหนที่ต้องการรับความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

โดยก่อนหน้านี้มีลูกหนี้ทั้งหมดของระบบสถาบันการเงินที่ขอรับความช่วยเหลือจากมาตรการผ่อนผันการพักชำระหนี้ดังกล่าว คิดเป็น 6.89 ล้านล้านบาท คิดเป็นเงินที่อยู่ในมาตรการพักหนี้ของลูกหนี้เอสเอ็มอี ประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท ในส่วนนี้แบ่งเป็นหนี้ในระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จำนวน 4 แสนล้านบาท คิดเป็นลูกหนี้ 7.8 แสนบัญชี และเป็นหนี้ในระบบธนาคารพาณิชย์ และนอนแบงก์ จำนวน 9.5 แสนล้านบาท คิดเป็นลูกหนี้ 2.7 แสนบัญชี

โดยในส่วนนี้มีลูกหนี้ประมาณ 94% ที่ทั้งสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ หลังหมดมาตรการช่วยเหลือ และสถาบันการเงินสามารถติดต่อเพื่อดำเนินการช่วยเหลือด้วยวิธีต่างๆ ต่ออีก แต่อีก 6% ของยอดหนี้ หรือประมาณ 57,000 ราย อยู่ระหว่างการติดต่อลูกหนี้ เพราะยังติดต่อไม่ได้ โทรศัพท์ไม่รับ จึงยังไม่รู้ว่าจะดำเนินการช่วยเหลืออย่างไรกับลูกหนี้ในส่วนนี้หลังจากหมดอายุมาตรการช่วยเหลือ