วอยซ์ ต่อสายพูดคุยกับ ณัฐจิรา อิ่มวิเศษ หรือ เม วัย 31 ปี ผู้สมัคร ส.ส. นครราชสีมา เขต 4 พื้นที่ อ.สูงเนิน อ.ขามทะเลสอ อ.โนนไทย พรรคเพื่อไทย ดีกรีปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยศิลปากร และปริญญาเอก คณะการจัดการ สาขาการจัดการ มหาวิทยาลัยบูรพา
สำหรับการทำงานที่ผ่านมา เธอเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี เธอรับหน้าที่ช่วยดูแลอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวเธอเอง และระหว่างการเรียนในระดับปริญญาโท ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อว่างเว้นจากการเรียน เธอเลือกเดินทางเข้ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานเพิ่มเติมที่กรุงเทพในสายงานบริหารการตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะเห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเติบโตด้วยดี จึงตั้งใจมาศึกษาดูงานเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรหลายโครงการที่ครอบครัวเธอกำลังบริหารอยู่ ควบคู่ไปกับการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สอนรายวิชาการจัดการ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และนครราชสีมาวิทยาลัย รวมถึงเป็นวิทยากรพิเศษที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานด้วย
พอมีมาตรการล็อกดาวน์ ผู้คนไม่ได้ไปไหนมาไหน ทุกอย่างปิด แต่อสังหาฯ เป็นสิ่งที่คนต้องวอล์กอินไปดูรายละเอียดต่างๆ ไปดูทำเล ไม่ใช่สินค้าที่แค่ดูทางออนไลน์ก็ซื้อได้ง่ายๆ อีกทั้งตอนนี้ เมื่อคนมีรายได้น้อยลงและเป็นหนี้เพิ่มขึ้น การยื่นกู้เงินหรือลงทุนซื้ออสังหาฯ ชิ้นใหญ่แต่ละที ธนาคารก็ต้องตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก
เธอกล่าวเสริมว่า ก่อนหน้าที่จะมาทำงานการเมือง เธอเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งมากอยู่แล้ว และไม่เคยไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดนครราชสีมาเพื่อไปเลือกตั้งทุกครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะเธอใฝ่ฝันอยากจะลองทำงานในสนามการเมืองท้องถิ่นและไม่อยากถูกจำกัดสิทธิ แต่เมื่อได้รับโอกาสเป็นผู้สมัคร ส.ส. หน้าใหม่ในเวทีการเมืองระดับชาติ ยิ่งทำให้เห็นว่า การเลือกตั้งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เพราะคนที่จะมาเป็นผู้แทนของประชาชนจะต้องมีความเอาใจใส่ทุกพื้นที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ และเป็นคนที่ประชาชนเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
ดังนั้น การตัดสินใจเปิดตัวทำงานการเมืองร่วมกับพรรคเพื่อไทยในปี 2564 คือ "จังหวะของโอกาส" สำหรับเธอ โดยบอกว่า ในฐานะผู้ประกอบการทำธุรกิจ เธอมีความชื่นชอบและติดตามการเมืองอยู่เป็นทุนเดิม เพราะถ้าการเมืองไม่ดี ธุรกิจก็แย่ไปด้วย และเนื่องจากอายุยังน้อยกว่า 35 ปี ไม่ถึงเกณฑ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกฯ อบจ. ตามความมุ่งมั่นเดิมได้ เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศตามหาผู้สมัคร ส.ส. เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง 2566 เธอที่มั่นใจว่ามีความพร้อมทั้งในเรื่องคุณสมบัติและประสบการณ์ จึงสนใจอยากขอโอกาสพิสูจน์ตนเองดู โดยยืนยันว่า เธอเป็นคนที่ลงมือทำอะไรแล้ว ก็จะทำอย่างจริงจัง และมีเป้าหมายชัดเจนว่า ณ ตอนนี้ อยากเป็นปากเสียงให้กับความเดือดร้อนของประชาชน อาทิ เศรษฐกิจปากท้อง โครงสร้างพื้นฐาน การจัดการน้ำ ราคาผลผลิตทางการเกษตร ฯลฯ ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ประชาชนในพื้นที่ของเธอสะท้อนมา
คนๆ เดียว รัฐบาลชุดเดียว สามารถทำให้เราต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ทุกบริษัท บางบริษัทถึงขั้นล้มไปเลยก็มี แล้วตอนนี้มาขอเวลาแก้ปัญหาต่อ อยากรู้ว่า 8-9 ปีที่ผ่านมา ทำไมไม่ทำ หากไม่มีความสามารถในการบริหาร ก็ควรหาคนอื่นเข้ามาทำแทนได้แล้ว
ทั้งนี้ สาเหตุที่เธอเลือกสังกัดพรรคเพื่อไทย เพราะความมั่นใจในนโยบายและบุคลากรที่มีศักยภาพของพรรค โดยได้ยกตัวอย่าง แพทองธาร ชินวัตร และ เศรษฐา ทวีสิน สองแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ที่มีประสบการณ์บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์มาเหมือนกับเธอ รวมถึงความประทับใจในนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ยังคงเป็นพรรคไทยรักไทย สมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เพราะคนใกล้ชิดของเธอหลายคนล้วนได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ซึ่งสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตพวกเขาได้จริง และเธอเองก็คาดหวังอยากเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันนโยบายดีๆ เหล่านี้ของพรรคเพื่อไทยต่อไป
อย่างไรก็ดี เมื่อถามว่า ทุกวันนี้ ประเทศไทยต้องการผู้นำแบบไหน เธอบอกว่า ผู้นำในอนาคตจะต้องเป็นนักบริหาร จุดเด่นของคนที่เป็นผู้บริหาร คือ เขาจะสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้อย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยปละละเลยให้เวลาผ่านไปจนปัญหาลุกลาม และจะต้องเป็นผู้นำที่มีหัวใจ มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจถึงความเดือดร้อนที่ประชาชนต้องเผชิญ เพื่อนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาที่ตอบโจทย์ สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตพวกเขาได้สำเร็จ.