ไม่พบผลการค้นหา
หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เรียกร้องให้ฟิลิปปินส์ “ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง” เกี่ยวกับประเด็นทะเลจีนใต้ที่ทั้งสองชาติมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกัน เอ็นริเก มานาโล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ

ความตึงเครียดระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ในเรื่องทะเลจีนใต้ได้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณสันดอนสการ์โบโรห์ และสันดอนโธมัสที่สอง ซึ่งฟิลิปปินส์กล่าวหาว่าหน่วยยามฝั่งจีนได้กระทำการที่เป็นอันตรายต่อเรือของชาวฟิลิปปินส์ ในระหว่างภารกิจเสริมกำลังตามปกติให้กับกะลาสีบนเรือเซียร์รา มาเดร ซึ่งประจำการมาตั้งแต่ปี 2542

ฟิลิปปินส์ได้ยื่นประท้วงทางการทูตหลายสิบครั้งเกี่ยวกับพฤติกรรมของจีน และเมื่อต้นเดือนนี้ ฟิลิปปินส์ยังได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตจีนเข้าชี้แจง หลังจากเกิดการปะทะกันระหว่างเรือของจีนและฟิลิปปินส์

หวังและมานาโลพูดคุยทางโทรศัพท์เมื่อวันพุธ (20 ธ.ค.) โดยกระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยเนื้อหาการสนทนาจำนวน 5 ย่อหน้า ซึ่งมีการระบุว่ามานาโลได้พูดคุยเกี่ยวกับมุมมองของฟิลิปปินส์เกี่ยวกับสันดอนโธมัสที่สอง อย่างไรก็ดี จีนกล่าวหาว่าความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้นั้นเป็นความผิดของฟิลิปปินส์

“สาเหตุหลักก็คือจนถึงขณะนี้ ฟิลิปปินส์ได้เปลี่ยนจุดยืนทางนโยบาย ปฏิเสธคำมั่นสัญญา ยั่วยุและก่อปัญหาในทะเลอย่างต่อเนื่อง และบ่อนทำลายสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมายและชอบด้วยกฎหมายของจีน” แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ “ความสัมพันธ์จีน-ฟิลิปปินส์อยู่บนทางแยก เมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกว่าจะไปที่ไหน ฟิลิปปินส์จึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง”

สันดอนโทมัสที่สองอยู่ห่างจากเกาะปาลาวันทางตะวันตกของฟิลิปปินส์ประมาณ 195 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเกาะไหหลำทางตอนใต้ของจีนมากกว่า 1,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ จีนยังได้เข้ายึดสันดอนสการ์โบโรห์จากฟิลิปปินส์ไป หลังทั้งสองชาติเผชิญหน้ากันนานหลายเดือนในปี 2555 โดยสันดอนดังกล่าวอยู่ห่างจากชายฝั่งฟิลิปปินส์ประมาณ 220 กิโลเมตร และอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของฟิลิปปินส์ ตามกฎหมายทางทะเลระหว่างประเทศ

ในแถลงการณ์สั้นๆ มานาโลกล่าวถึงการพูดคุยทางโทรศัพท์กับหวังว่าเป็น “การแลกเปลี่ยนที่ตรงไปตรงมาและไว้วางใจกัน” พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ระบุว่า “เรายุติการพูดคุยทางโทรศัพท์ด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น เกี่ยวกับจุดยืนของเราในประเด็นต่างๆ” มานาโลกล่าวในแถลงการณ์ “เราทั้งสองสังเกตเห็นถึงความสำคัญของการเจรจาในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้”

จีนอ้างสิทธิเหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด ภายใต้การกล่าวอ้างถึงแผนที่เส้นประเก้าเส้น โดยหลังจากเหตุการณ์ที่จีนเข้ายึดสันดอนสการ์โบโรห์ ฟิลิปปินส์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการถาวรในกรุงเฮก ก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในปี 2559 ว่า ข้อเรียกร้องของจีนไม่มีพื้นฐานทางกฎหมาย แต่จีนได้เพิกเฉยต่อคำตัดสินดังกล่าว พร้อมกันกับการสร้างเกาะเทียมเพิ่ม การจัดตั้งสถานที่ปฏิบัติงานทางทหาร และการส่งกำลังหน่วยยามฝั่ง กองทหารติดอาวุธทางทะเล และกองเรือประมงเชิงพาณิชย์ลงสู่น่านน้ำ

นอกจากฟิลิปปินส์และจีนแล้ว บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม ต่างอ้างสิทธิ์ในพื้นที่บางส่วนของทะเลจีนใต้เช่นกัน ในขณะที่มาเลเซียและเวียดนามมีรายงานเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับเรือของจีนด้วยเช่นกัน

นับตั้งแต่ เฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในปี 2564 ฟิลิปปินส์ได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยใกล้ชิดกับสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยขยายข้อตกลงการป้องกัน ที่ทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้าถึงฐานทัพของฟิลิปปินส์ได้มากขึ้น

ในการสนทนาทางโทรศัพท์ หวังกล่าวว่าจีนมุ่งมั่นที่จะเจรจากับฟิลิปินส์ แต่จีนได้ออกคำเตือนว่า “หากฟิลิปปินส์ตัดสินสถานการณ์ผิด ยืนกรานที่จะดำเนินไปตามวิถีของตนเอง หรือแม้แต่สมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังภายนอกที่เป็นอันตรายเพื่อสร้างปัญหาและความโกลาหลต่อไป จีนจะปกป้องสิทธิของตนตามกฎหมายและตอบโต้อย่างเด็ดเดี่ยวอย่างแน่นอน”


ที่มา:

https://www.aljazeera.com/news/2023/12/21/china-urges-philippines-to-act-with-caution-amid-south-china-sea-dispute?fbclid=IwAR3Ml3wBeaH0dq29mV_QZHfMt2bD3v7X2_rpk_eiV_pK2jUx3hWLW1P8ZQo