เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ม.ค. 2565 ที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร ถนนราชดำเนิน กรรมการมูลนิธิพฤษภาประชาธรรมและคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 นำโดย อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กรรมการมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และอดีตเลขาธิการ สนนท.ปี 2535 พิภพ ธงไชย ที่ปรึกษาญาติวีรชนพฤษภา 35 บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ประธาน ครป.
ดร.ภูมิ มูลศิลป์ คณบดีคณะสังคมศาสตร์ มศว. ประสานมิตร และกรรมการสมานฉันท์ รัฐสภา ปรีดา เตียสุวรรณ์ กรรมการมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม วีระเดช สมบูรณ์เวชชการ เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานรำลึกครบรอบ 30 ปีพฤษภาประชาธรรม
ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กล่าวว่า เนื่องในเหตุการณ์ครบรอบ 30 ปี มูลนิธิเพื่อประชาธรรม เครือข่ายต่างๆ และเครือญาติวีรชนประชาธรรม จะได้จัดงานที่สำคัญยิ่งกว่าทุกปี งานพฤษภาประชาธรรมในปีนี้จะไม่จบแค่ 17 พ.ค. แต่เราตั้งใจจะไปจบที่เดือนมิ.ย. ปีนี้เราจะจัดงานครบรอบ 30 ปี ประชาธรรม ไปจนถึงครบรอบประชาธิปไตย 90 ปี วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญครั้งแรกของประเทศไทย วันที่ 27 มิ.ย. 2475 และหวังว่าการจัดงานพฤษภา 35 ครบรอบ 30 ปี จะช่วยเป็นบทเรียนให้สังคมไทยสามารถอยู่ร่วมกันได้ ท่ามกลางความเห็นต่าง สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้โดยไม่ต้องมีการนองเลือดอีก และต้องมีการเรียกร้องให้เปิดเผยรายงานเมื่อ 30 ปีที่แล้วในส่วนที่ปิดบังไว้ เปิดเผยความจริง เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่ทุกฝ่าย
ปรีดา กล่าวว่า ประเทศนี้จะก้าวหน้าอย่างมีศักดิ์ศรีต้องมีประชาธิปไตยที่ดีขึ้น ในวาระ 30 ปี พฤษภา 35 และ 90 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น เราต้องสร้างประชาธิปไตยที่ดีให้เกิดขึ้นแก่สังคมไทยให้ได้ โดยประเด็นสำคัญที่ต้องสรุปบทเรียนและเรียนรู้ร่วมกันหลายมิติคือ กรณีผู้สูญหายหลายร้อยคนในเหตุการณ์ที่เสียเลือดเนื้อไปจะต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง นอกจากนี้เหตุการณ์พฤษภา 35 เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ร่วมสมัยที่สุด มีผู้รักประชาธิปไตยหลากหลายมาเรียกร้องร่วมกันหลังการรัฐประหารและปัจจุบันกว่าครึ่งก็ยังมีชีวิตอยู่
ดังนั้นคนหลายกลุ่มควรมาร่วมกันจัดงานนี้ให้ยิ่งใหญ่ และเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยและเรียนรู้ประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนไม่ให้เกิดรัฐประหารขึ้นอีก ก่อนจะเกิดมิคสัญญีใหญ่ในอนาคต ไม่เช่นนั้นพลังประชาชนจะอ่อนแอลง และอีกมิติคือ ประชาชนที่ถูกกระทำได้อโหสิกรรมการกระทำในอดีตและเปลี่ยนวลีพฤษภาทมิฬเป็นพฤษภาประชาธรรม ซึ่งเป็นมุทิตาจิตในการแก้ไขความขัดแย้งเพื่อนำไปสู่การปรองดองทางสังคมในครั้งก่อน ซึ่งจะต้องสรุปบทเรียน ชำระประวัติศาสตร์และความจริง เรียนรู้ความกตัญญูของผู้เสียสละและการให้อภัยในอดีต เป็นเกียรติยศประชาชน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปสู่หนทางประชาธิปไตยที่มีความหมายต่อไป
ขณะที่ ดร.ภูมิ มูลศิลป์ กล่าวถึงกิจกรรมเสวนาวิชาการที่ทางคณะสังคมศาสตร์ มศว. ประสานมิตร จะเป็นผู้ร่วมจัดงานเพื่อประสานมิตร มิตรประสาน โดยธีมการเสวนาจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับการเรียนรู้ เข้าใจ ให้อภัย และจดจำ โดยจะเป็นการรวบรวม 'ข้อเท็จจริง' ทั้งหลายให้ได้มากที่สุด จะได้ทราบว่าในช่วงเวลาดังกล่าว เกิดสิ่งใดบ้าง ประเด็นต่อมา คือ 'การเข้าใจ' การที่เรารู้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไรนั้นจะทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างกัน ถึงแม้จะต่างกันในเรื่องความคิด ความเชื่อ ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้
ส่วนประเด็น 'การให้อภัย' สิ่งนี้ความชอบธรรมอยู่ที่ตัวญาติวีรชน สังคมโดยทั่วไปต้องหัดเรียนรู้ว่าผู้ที่ถูกกระทำ ในการที่จะให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้นั้น เขาพร้อมจะเสียสละ พร้อมจะให้อภัย โดยมีเงื่อนไขบางประการที่รอติดตามกันต่อไป และประเด็นสุดท้ายจะต้อง 'จดจำ' เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ควรจะเลือนหายไปตามหน้าประวัติศาสตร์ ควรจะต้องเกิดการจดจำในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือจดจำบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้จะเป็นกิจกรรมที่ส่งต่อจากเดือน พ.ค.ไปถึงเดือน มิ.ย. เนื่องในวาระครบรอบ 90 ปีประชาธิปไตย
อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ เปิดเผยว่าในปีนี้ขอเรียกร้องให้มีการเปิดเผยผลสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดในเหตุการณ์พฤษภา 35 โดยไม่ต้องขีดคร่าสีดำเหมือนเก่า เพราะต้องมีการชำระประวัติศาสตร์เพื่อให้เหตุการณ์พฤษภา 35 เป็นบทเรียนแก่สังคมและคนรุ่นหลัง พร้อมการให้อภัยและการปรองดองแก่สังคม แต่ต้องเปิดเผยความจริงว่า กรณีคนหายในเหตุการณ์พฤษภา 35 จริงๆ แล้วอยู่ที่ไหนกันแต่ ซึ่งตนทราบมาว่า หลังจากเคยได้พบกับพล.อ.สุจินดา อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อรับคำขอโทษแก่ญาติวีรชน มีนายทหารโทรมาให้ข้อมูลว่า ศพวีรชนผู้สูญหายส่วนหนึ่งถูกนำไปทำลายฝังกลบที่กองพลทหารราบที่ 9 กาญจนบุรี ซึ่งปัจจุบันคือใต้ฐานพลับพลาที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งรัฐบาลและกองทัพสมควรที่จะต้องเปิดเผยความจริงต่อไปแก่สาธารณะ
พิภพ ธงไชย กล่าวว่า ตนอยากให้งาน 30 ปีนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เหมือนกับงานเฉลิมฉลองเหตุการณ์ 18 พ.ค. ที่เมืองกวางจู เกาหลีใต้ ที่เป็นเหตุการฝาแฝดของเหตุการณ์พฤษภา 2535 บ้านเรา ซึ่งมีอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางหลายไร่เพื่อให้ประชาชนมาเรียนรู้พื้นที่ประวัติศาสตร์และผู้นำประเทศต้องมาคารวะร่วมงานรำลึกทุกปี โดยคนทั้งเมืองเข้าร่วมงานรำลึกดังกล่าว แต่อนุสรณ์สถานของไทยกว่าจะได้มาก็เลือดตาแทบกระเด็น แทบจะไม่ได้งบประมาณจากรัฐบาลสักบาท นอกจากมติ ครม.ที่อนุญาตให้สร้างอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม โดยงานรำลึก 30 ปีนี้ อยากให้รัฐสภาเป็นเจ้าภาพจัดเป็นรัฐพิธีและเชิญประธานญาติวีรชนกล่าวปาฐกถาที่รัฐสภา เหมือนเช่นงานครบรอบ 100 ปี ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งจะเป็นเกียรติประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย และตนขอเรียกร้องให้กองทัพและรัฐบาลสืบสวนเปิดเผยข้อเท็จจริงเรื่องคนหาย เหมือนดั่งที่ประธานญาติวีรชนให้เบาะแสเพิ่มเติม และจุดนี้จะเป็นเรื่องสำคัญในวาระ 30 ปีพฤษภา
บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ กล่าวว่า จะมีกิจกรรมเวทีสัมมนาสากลระหว่างประเทศ ในวันที่ 18-19 พฤษภาคม 2565 โดยจะประสานกับเครือข่ายองค์กรประชาธิปไตยในประเทศอื่นๆ เพื่อมาระดมความคิดเห็นและทิศทางการพัฒนาประชาธิปไตย 5 เรื่อง คือ 1.เรื่องสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคของสังคม 2.เรื่องการเข้าถึงความยุติธรรมและยึดมั่นในหลักนิติธรรม 3.เรื่องหลักการสิทธิมนุษยชน การให้การเยียวยาผู้ประสบภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนหาย การถูกซ้อมทรมานหรือเสียชีวิต 4.เรื่องของการสร้างความเข้มแข็งให้กับธรรมาภิบาลประชาธิปไตย และ 5.เรื่องของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยจะเชิญนางแมรี โรบินสัน อดีตข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ อดีตประธานาธิบดี ทูตานุทูตประเทศต่างๆ และผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วม
จากนั้น เมธา เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กล่าวว่า 1.จะมีเวทีอภิปรายสาธารณะ ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในเดือน ก.พ.-มิ.ย. 2565 โดยกำหนดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อขัดแย้งทางการเมืองเพื่อลดความขัดแย้ง ยุติความรุนแรง นำไปสู่การปรองดองสมานฉันท์ประชาชนเพื่อสันติประชาธรรม ในวาระ 30 ปี พฤษภาประชาธรรม และ 90 ปี 24 มิ.ย.นี้ กับประชาธิปไตยไทย
2.ในปีนี้จะจัดงานรำลึกสืบสานวีรชน "30 ปีประชาธรรม" อย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ในวันที่ 17 พ.ค. 2565 ณ อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร ถนนราชดำเนิน โดยภาคเช้าจะมีพิธีกรรมทางศาสนา และจะมีการเชิญทุกภาคส่วน ทุกพรรรคการเมือง รวมถึงเชิญประธานรัฐสภามาเป็นประธานในรัฐพิธี เพื่อจะจัดให้เป็นวาระของสังคมไทย จะมีการชำระประวัติศาสตร์ มีการเสวนาอภิปรายในช่วงบ่าย โดยในปีนี้จะมีการเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริง รวมถึงคนหายในเหตุการณ์ และสร้างอุทาหรณ์บทเรียนทางประวัติศาสตร์ โดยประสานงานนิสิต นักศึกษา มหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมจัดกิจกรรมในวันดังกล่าว
3.เวทีสัมมนานานาชาติ เพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพ ระหว่าง 18-19 พ.ค. 2565 โดยเชิญผู้แทนสหประชาชาติ องค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วม ซึ่งบางท่านอาจใช้ระบบออนไลน์เข้ามาในที่ประชุมสัมมนา และ 4. กิจกรรมศิลปวัฒนธรรมตลอดเดือนพฤษภาคม 2565 ณ อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร และศิลปกรรมริมถนนราชดำเนิน โดยความร่วมมือของเครือข่ายศิลปินเพื่อประชาธิปไตย