วันที่ 15 มี.ค. 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุกลางวงร่วมรับประทานอาหารกับพรรคการเมืองขนาดเล็กที่มูลนิธิป่ารอยต่อวันนี้ถึงการยุบสภาหลังการเป็นประธานการประชุมเอเปค ว่า ก็เป็นเรื่องของพล.อ.ประวิตร ที่เขาพูด จะได้บอกตนแล้ว และ พล.อ.ประวิตร ก็ได้พูดในมุมมองของเขาเอง แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี
ส่วนตั้งใจจะอยู่ครบเทอมหรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีที่ต้องตัดสินใจ ซึ่งตนขอเก็บไว้ก่อน พร้อมย้ำว่าเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีจะบอกก่อนทำไม และทำไมต้องรีบบอก
เมื่อถามว่า แสดงว่านายกรัฐมนตรีมีอยู่ในใจแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดทั้งหมด ตนอยากให้ทุกคนได้คำนึงว่า วันนี้อะไรสำคัญกว่าอะไร ประเทศชาติมีปัญหาสำคัญ ประชาชนมีความเดือดร้อนสำคัญหรือไม่ ซึ่งจะสำคัญกว่าอย่างอื่นหรือไม่ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อไหร่ก็ตามที่ประเทศไทย เข้าสู่สภาวะที่ไม่ปกติ คนไทยทุกคนจะรวมพลังกันในการที่จะต่อสู้เอาชนะมัน จนอยู่รอดปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้ วันนี้เราจะแตกแยกกันไปถึงไหน ปัญหาอะไรที่สามารถลดลงไปได้ ก็ขอให้ลดลงกันบ้าง ตนขอร้อง และตนขอได้แค่นั้น
ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนหลังการประชุมเอเปคหรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ เพราะยังไปไม่ถึงตรงโน้น ตอนนี้กำลังดูถึงเรื่องการประชุมอื่นๆ ต่อเนื่องไปยังการประชุมเอเปค จะต้องดูว่าจะประชุมได้หรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
ส่วนการนัดร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำกับพรรคร่วมรัฐบาลในวันที่ 17 ม.ค.นี้ จะมีนัยอะไรหรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าไม่มี เป็นการพูดคุยและเจอกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความเป็นจริงนั้นตนพูดคุยกับเขาอยู่แล้ว และเจอหลายครั้งในสภาฯ วันนี้เรามาร่วมแรงร่วมใจกัน ทำเพื่อประเทศชาติดีกว่า อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง พร้อมย้ำว่าไม่มีอะไรเป็นประเด็น ส่วนเรื่องความไม่รักไม่สามัคคีคงไม่ใช่ตนให้เกียรติเสมอ หากตนเจอและผู้นั้นอาวุโสน้อยกว่าตน เขาก็สวัสดีตน แต่หากเขาอายุมากกว่า ตนก็จะสวัสดีเขา พร้อมกับ ระบุว่า ตนไม่เคยคิดว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะสุดยอดเสียเมื่อไร
เมื่อถามว่าไม่มีเรื่องของความน้อยอก น้อยใจกันใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า คนเรามันต้องหัวใจใหญ่ ทำตัวให้หัวใจใหญ่ ไม่ใช่หัวใจเล็ก ต้องเป็นหัวใจที่รู้จักให้เกียรติซึ่งกันและกัน ให้อภัยกัน สำหรับคนที่ควรให้อภัย
เมื่อถามว่าระหว่างนี้การเมืองจะเป็นอุปสรรคในการทำงานหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ให้ไปถามฝ่ายการเมือง ตนอยู่ฝ่ายบริหาร ส่วนเรื่องการใช้เสียงในสภาจะทำให้รัฐบาลยังมีเสถียรภาพหรือไม่ ก็แล้วแต่เสียงในสภา ตนบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าคิดว่าทำไปแล้วประเทศชาติจะดีขึ้น ก็แล้วแต่เขา
ในส่วนของการทำงานของคณะรัฐมนตรี จะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ตนก็พูดคุยกับทุกคน นอกจากการประชุมคณะรัฐมนตรี ทุกวันมีการติดต่อกันโดยตรง มีการส่งไลน์พูดคุยกัน ในเรื่องต่างๆ ว่าจะไปดูแลได้หรือไม่ รับไปดูแลได้หรือไม่ ซึ่งก็มีการตอบกลับมาว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว
“ไม่ใช่เจอกันอาทิตย์ละครั้ง แต่เจอกันทุกวันทุกกระทรวง เมื่อมีเรื่องมาตนก็ส่งไป ว่าพี่ไปทำเรื่องนี้หน่อยนะหรือไปช่วยดูตรงนี้หน่อยนะ อะไรที่ตนแนะนำได้ เพราะตนอยู่ข้างบน และเรื่องเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง ก็ได้มีการให้แต่ละกระทรวงดำเนินการต่อได้หรือไม่ ทุกอย่างต้องทำงาน และบริหารเช่นนี้” พลเอกประยุทธ์กล่าว
ส่วนจะมีการปรับภาพหรือเสริมทัพหรือไม่นั้น ยืนยันว่า ไม่มี ไม่มีการปรับอะไรทั้งนั้น
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ได้ถามในวงรับประทานอาหารร่วมกับพรรคเล็กว่ามีแผนล้มนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น พลเอกประยุทธ์ ระบุว่า "ก็ให้มาล้มเถอะ ใครจะล้มก็ล้มไป ผมไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผมคิดว่าทุกคนมีวุฒิภาวะที่ดีเพียงพอ และตนให้เกียรติเขาทุกคน และผมขอถามว่าจะเกิดประโยชน์กับใคร วันนี้ผมทำงานมาเท่าไหร่ อะไรสำเร็จบ้าง ไปเทียบดู ไปเทียบมาเลย 7-8 ปีที่ผ่านมา ขอให้ไปเทียบผลงานมาเลย และให้ประชาชนไปแยกแยะเอาเอง"
ส่วนจะถือว่าการร่วมรับประทานอาหารพรรคเล็กจะเป็นการรับฟังเสียงของประชาชนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่มีอะไรหรอก กินข้าวอย่างเดียว
เมื่อถามย้ำว่า การที่พล.อ.ประวิตร ออกมาพูดจะเป็นการส่งสัญญาณอะไรทางการเมืองหรือไม่นั้น พลเอกประยุทธ์ ย้ำว่า ไม่มีอะไรหรอก กินข้าวผิดด้วยหรือ
ถกฝ่ายเศรษฐกิจห่วง ปัญหาสินค้าราคาพลังงาน สินค้านำเข้า
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าวันนี้มีเรื่องที่พิจารณา 20-30 เรื่อง ทั้งวาระเพื่อทราบ เรื่องพิจารณาวาระจร เพื่อประโยชน์ของประชาชน มีทั้งเรื่องที่จะต้องปรับแก้ ปรับระเบียบ และอนุมัติงบประมาณใช้จ่ายให้คุ้มค่า และต้องคำนึงถึงรายได้ที่มีอยู่ด้วย
โดยในวันนี้ไทยเจอปัญหาในหลายด้านทั้งสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจและภัยสงคราม ถึงแม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศเล็กและอยู่ห่างไกลสงครามแต่ก็อยู่ในห่วงโซ่ เพราะสินค้าต่างๆต้องมีการส่งผ่านกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่นำเข้ามายังประเทศไทย ทำให้มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น แต่การดูแลประชาชนจะสามารถทำได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับวงเงินงบประมาณที่มีอยู่ จึงขอให้เข้าใจรัฐบาลด้วย เพราะหลายคนมองว่ารัฐบาลไม่มีเงินแล้ว ยืนยันจะมีหรือไม่ก็จะหาทางดูแลประชาชนให้ได้ด้วยวิธีที่เหมาะสม หากยังโจมตีกันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ทำให้คนทำงานท้อแท้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ (15 มี.ค.) นายกรัฐมนตรีจะประชุมร่วมกับฝ่ายเศรษฐกิจ ว่าจะเดินหน้าในเรื่องเหล่านี้อย่างไร ทั้งราคาพลังงานที่ผันผวนอย่างมาก และสถานการณ์การสู้รบที่ยังมีอยู่ และคาดว่าจะไม่จบลงภายในเวลาระยะเวลาสั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งทายว่า ส่วนตัวกังวลราคาสินค้าราคาพลังงาน ราคาปุ๋ย วัสดุต้นทุน ที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ รวมถึงปัญหาโควิด-19 ก็คงมีปัญหาอยู่มากพอสมควร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง