ช่วงที่กระแสข่าวหนาหู พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็งดเล่นทวิตเตอร์ ที่ใช้ในการทวีตข่าวทหาร และใช้กดไลค์ข่าวการเมือง ที่เป็นเชิงประเภท ‘ไอโอรุ่นใหม่’ ที่ทำในลักษณะเสนอข่าว ด้วยคลิป-ภาพ ผสมถ้อยความเสียดสี เฉกเช่นเพจการเมืองต่างๆ
ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เมื่อกระแสข่าวซาลงไป พล.อ.ณรงค์พันธ์ กลับมาใช้ทวีตเตอร์อักครั้ง แต่ลึกๆเชื่อได้ว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็มีหวาดหวั่นบ้าง หากจะเกิดเหตุการณ์ ‘เปลี่ยน ผบ.ทบ.’ ขึ้นมา มีการมองว่ากระแสข่าวที่เกิดขึ้น เป็นภาพสะท้อน ‘สงครามตัวแทน’ หรือไม่ด้วย
ช่วง 2 ปีที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เป็น ผบ.ทบ. เรียกว่า ‘ถนอมตัว-ไม่ออกตัวแรง’ ในการออกมาปกป้องรัฐบาลหรือพูดสนับสนุน ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จึงมีระยะห่างกับ พล.อ.ประยุทธ์โดยเก็บตัวและก้มหน้าทำงานงานใน ทบ. เงียบๆ ประคองตัวเองในสถานการณ์ที่การเมืองบนถนนก็ ‘ทะลุเพดาน’
การเมืองในรัฐบาลก็ ‘ลุ่มๆดอนๆ’ เกิดศึกวัดพลังกันเองระหว่าง ‘3ป.บูรพาพยัคฆ์’ สำหรับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่เติบโตจาก ร.31 รอ. หน่วยทหารหมวกแดง RDF ของ พล.1 รอ. ที่เป็นสายวงศ์เทวัญ ไม่ได้เป็นสายบูรพาพยัคฆ์
แต่กระแสข่าว ‘เปลี่ยน ผบ.ทบ.’ ถูกปั่นหนักขึ้น ในช่วงฤดูแต่งตั้งโยกย้ายในขณะนี้ ย้อนไปเมื่อ พ.ค.65 พล.อ.ประยุทธ์ เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่มี ยังไม่ถึงเวลา” ซึ่งโฟกัสไปอยู่ที่คำว่า “ยังไม่ถึงเวลา” ที่ถูกตีความเป็นอย่างมาก
ล่าสุด พล.อ.ณรงค์พันธ์ ออกมาชี้แจงถึงกระแสข่าวด้วยตัวเองว่า “อ๋อ ไม่ๆๆ บอกแล้วว่าอย่าไปคาดการณ์ถึงข่าวลือต่างๆ”
จากนั้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็พูดโยงถึงชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมา โดยที่สื่อยังไม่ทันได้ถามว่า “ผมขอยกตัวอย่างเรื่องของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ ทุกคนควรชื่นชม และ ยกย่องท่าน ท่านปฏิบัติตามระบบของประชาธิปไตย ทั้งนิติศาสตร์ คือการตรวจสอบ มีเรื่องอะไรก็ร้องไปที่ตุลาการ และทางตุลาการ ก็สั่งมาที่ฝ่ายบริหาร ว่าฝ่ายบริหารก็ปฏิบัติตามฝ่ายตุลาการ นี่คือระบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ต้องยอมรับ”
“ชื่นชมว่าท่าน คือสุภาพบุรุษ ท่านคือผู้นำ ท่านคือแบบอย่างของชายชาติทหาร สุภาพบุรุษ ที่ว่าทางฝ่ายตุลาการปฏิบัติอย่างไรก็ปฏิบัติตาม นี่คือสิ่งที่ดีๆ ที่สังคมของประเทศเรา ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าพอตุลาการพูดมาก็ไปคิดแทน ไปคาดการณ์กันเอาเอง เหมือนฝ่ายอื่นๆ ซึ่งมันไม่ใช่ " ผบ.ทบ.กล่าว
การพูดเช่นนี้ถือว่า ‘ผิดวิสัย’ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ซึ่งที่ผ่านมาในการเป็น ผบ.ทบ. แทบไม่เคยกล่าวชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ในลักษณะนี้ ว่ากันว่างานนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็มีความหวั่นไหว ผ่านภาพ ‘สงครามตัวแทน’ ฉายผ่าน ‘ตึกไทยคู่ฟ้า’ ออกมา ที่อาจพลิกผัน พล.อ.ณรงค์พันธ์ พ้นจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. ไปเก้าอี้อื่นได้
ดังนั้น ‘แอคชั่น’ ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่เกิดขึ้น จึงถูกตีความได้ทั้ง ‘ความหวาดหวั่น’ หรือ ‘ความมั่นใจ’ ในเก้าอี้ของตัวเองว่าได้ไปต่อ แต่เชื่อได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เปลี่ยนเก้าอี้ ผบ.ทบ. ในช่วงท้ายรัฐบาล ที่เป็นช่วงรอยต่อ ‘ขั้วอำนาจ’ ทางการเมือง ที่ถูกเงื่อนไขต่างๆบีบรัดอยู่
อีกทั้งเป็นที่น่าจับตาว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ เลือกที่จะเข้าหาสื่อมากขึ้น ดังนั้นต้องรอดูว่าหลังโผโยกย้ายออกอย่างเป็นทางการ ท่าทีของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะเปลี่ยนไปหรือไม่ ในช่วง 1 ปีสุดท้ายในเก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนรัฐบาล-มีการเลือกตั้ง กับสถานการณ์หากเกิดการ ‘เปลี่ยนขั้วอำนาจ’ ขึ้นมา จะเป็นอย่างไร แม้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะกล่าวว่า อย่าไปคาดการณ์ในสิ่งที่ไม่รู้ ให้ทุกคนต้องทำตามหน้าที่ คิดถึงประชาชน ประเทศชาติให้มากที่สุด
อีกดุลอำนาจที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องวางคือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยปมวาระนายกฯ 8 ปี ทว่าโผทหารกับโผตำรวจ ยังจัดไม่แล้วเสร็จอย่างเป็นทางการ
สำหรับโผทหารนายพล ไม่มีปัญหามากนัก เพราะอำนาจยังอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม ที่นั่งประธาน ‘บอร์ด 7 เสือกลาโหม’
แต่โผตำรวจ ‘อำนาจเปลี่ยนมือ’ ไปอยู่ในมือ พล.อ.ประวิตร แทน เพราะ นายกฯ เป็น ประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยตำแหน่ง ทำให้ พล.อ.ประวิตร ต้องนำประชุมแทน และถูกจับตาว่าจะมีการ ‘ล้างบาง-รื้อโผตำรวจ’ หรือไม่ เพราะมีการไปโยงถึง ‘บิ๊กสีกากี’ คนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร ด้วย
แต่มีรายงานข่าวจากบ้านป่ารอยฯ ต่อว่า งานนี้ พล.อ.ประวิตร จะไม่ล้างบางหรือล้วงโผตำรวจ โดยจะพิจารณาตามที่ ผบ.ตร. และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดคุย-พิจารณาไว้ก่อนหน้านี้ แต่ถึงเวลาจริงต้องดูว่าเป็นไปตามนี้หรือไม่ ในการจัดโผนายพลตำรวจ ตั้งแต่ระดับรอง ผบ.ตร ลงไปถึงระดับผู้บังคับการ
ที่สำคัญ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ต้องการให้เกิด ‘แรงกระเพื่อม-ความขัดแย้ง’ หนึ่งในนั้นคือ การเลี่ยงใช้ตึกไทยคู่ฟ้า ยังคงใช้ตึกบัญชาการ 1 ห้องทำงานรองนายกฯ เช่นเดิม รวมทั้งเปลี่ยนห้องประชุม ก.ตร. จากตึกไทยคู่ฟ้า ไปยัง สตช. แทนด้วย
ส่วน ‘ทีมงาน’ ฝั่ง พล.อ.ประวิตร ยังคงใช้ทีมงานชุดเดิม แม้จะมีงานที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดึงทีมงาน พล.อ.ประยุทธ์ มาช่วย แต่จะพิจารณางานที่เป็นหน้าที่รักษาการนายกฯ ที่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น ส่วนทีมงาน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ เช่นเดิม
สถานการณ์ระหว่าง ‘ขั้ว 2ป.’ ยังคงประคองทัพร่วมกันได้ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือน ก.ย.นี้
ในฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เชื่อว่าจะได้ไปต่อ และการหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เป็นเพียง ‘ชั่วคราว’ เท่านั้น
ที่สำคัญการกลับมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะสมบูรณ์มากขึ้น แต่ก็ต้องเผชิญกับแรงต้านในสังคม ที่จะสั่งสมไปถึงการเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ ‘เปลี่ยนขั้วอำนาจ’ ขึ้นมาก็ได้
ในกรณีที่หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ไปต่อ อำนาจทั้งหมด ก็จะถูกโอนไปยัง พล.อ.ประวิตร โดยอัตโนมัติ
แน่นอนว่า ‘กลไกอำนาจ’ และ ‘เกมการเมือง’ ก็จะเปลี่ยนไปด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะออกไปทางใด พล.อ.ประวิตร ยังคงเป็น ‘นายกฯ สำรอง’ รายชื่อแรก มากกว่า ‘เสี่ยหนู’อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะอำนาจยังอยู่ในขั้ว ‘อำนาจ 3ป.’ นั่นเอง
ในเวลานี้เรียกได้ว่า บ้านป่ารอยต่อฯ ‘หัวกระไดไม่แห้ง’ หลังทิศทางอำนาจเปลี่ยนแปลง แม้จะชั่วคราว แต่ก็สร้าง ‘บารมี’ ให้ พล.อ.ประวิตร อย่างมากในทางการเมือง
หากตัดเรื่องสุขภาพออกไป พล.อ.ประวิตร ก็พร้อมเป็น นายกฯ คนต่อไป ผ่าน ‘ซูเปอร์คอนเนกชั่น’ ที่เชื่อมกับขั้วอำนาจการเมือง-กลุ่มทุนไทยได้
แต่ที่ พล.อ.ประวิตร จะต้องพิสูจน์ตัวเอง ก็คือ ‘ขั้วอำมาตย์’ ด้วยกันเอง ว่าจะผ่านไปได้หรือไม่
ทั้งหมดนี้จึงเป็นห้วงเวลาวัดใจ พล.อ.ประวิตร ในการครอง ‘อำนาจนายกฯ’ ที่จะกลายเป็น ‘ศึกวัดพลัง’ ระหว่างพี่น้อง ‘2ป.’ ภาคต่อ หรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง