วิกฤตแรกเริ่มของปี 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.) กลาโหม ต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ระลอกสอง ซึ่งระบาดจาก จ.สมุทรสาคร กระทั่งวิกฤตเริ่มคลี่คลาย
แต่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเผชิญโควิด-19 ระลอกที่สาม ที่มาในช่วงเดือน เม.ย. 2564 ซึ่งระบาดจากพื้นที่สถานบริหารย่านทองหล่อ การระบาดระลอกนี้ทำให้ 'ศักดิ์สยาม ชิดชอบ' รมว.คมนาคม ต้องติดเชื้อโควิด-19 เป็นคนแรกในคณะรัฐมนตรี (ครม.)
แม้ผ่านยกแรกของปีจากวิกฤตโควิด-19 ระลอกสองไปได้
แม้จะผ่านเวทีศึกซักฟอกของฝ่ายค้านรุมกระหน่ำโจมตี แต่ 'พล.อ.ประยุทธ์' ก็ยังคงได้รับเสียงไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรด้วยมติไว้วางใจ 272 ต่อ 206 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง
วิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ ส่งผลให้เกิดยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ รวมเป็นยอดสะสมแล้ว 61,699 ราย (ยอด ณ 28 เม.ย. 2564) รักษาหายแล้ว 34,402 คน รักษาอยู่ใน รพ. 27,119 ราย เสียชีวิตแล้ว 178 ราย
โดยเฉพาะสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ช่วงต้นเดือน เม.ย. 2564 อยู่ในหลักไม่ถึงร้อยราย แต่เมื่อเกิดคลัสเตอร์จากสถานบันเทิงในกรุงเทพมหานคร
ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานไปสู่หลักร้อย แตะหลักพันราย และทุบสถิติใหม่นับแต่ประเทศไทยมีวิกฤตโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 โดยยอดผู้ป่วยรายใหม่ประจำวัน มีจำนวน 2,839 ราย (วันที่ 24 เม.ย. 2564)
จากวันที่ 1 เม.ย. 2564 มียอดผู้ป่วยโควิด-19 สะสมภายในประเทศ รวม 28,889ราย จนถึงล่าสุดมียอดผู้ป่วยสะสมแล้ว 61,699 ราย
นั่นเท่ากับในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่แล้วจำนวน 32,780 ราย
การแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มอกงว่า รัฐบาลล้มเหลวและมีความผิดพลาดในการจัดการการระบาดของโควิด-19 ล้มเหลวในการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจ และล้มเหลวในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนทั้งประเทศ
"พรรคร่วมฝ่ายค้านหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ จึงต้องลาออกจากตำแหน่งสถานเดียว และไม่กระทำการใดๆ ที่จะเป็นการวางกับดัก ต่อท่ออำนาจของตนเองต่อไป” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อ่านแถลงการณ์พรรคร่วมฝ่ายค้าน
ขณะที่ 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' หัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอโรดแมป 3 ขั้นตอน 1.รัฐบาลยุติบทบาทและการบริหารประเทศด้วยการลาออก 2. ตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 และแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 3.ยุบสภาเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็ว
ไม่ว่าข้อเสนอจากฝ่ายค้านจะออกมาอย่างไร แต่ 'พล.อ.ประยุทธ์' ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ยิ่งล่าสุด ครม.ได้มีมติเห็นชอบ ร่างประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3) ให้บรรดาอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายหรือที่มีอยู่ตามกฎหมายโอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวเฉพาะ ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือฟื้นฟู ช่วยเหลือประชาชน จำนวน 31 ฉบับ เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด -19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
แสดงให้เห็นว่า ครม.ที่มีพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีเสียง ส.ส.ในสภาฯ เท่าที่มีอยู่ 272 ยังคงให้การสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์
แม้ว่าจะมีรอยร้าวในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลให้เห็น จากการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือแม้แต่การแสดงความไม่พอใจกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด
หากดูกลไกตามรัฐธรรมนูญแล้ว ในชั่วโมงนี้จึงเป็นได้ยากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะงัดอำนาจการยุบสภาฯ เพื่อนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งใหม่ในช่วงที่วิกฤตโควิด-19 กำลังระบาดหนัก
เพราะพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่มีความพร้อมในการเลือกตั้ง กระแสขาลงของตัว พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะมีผลทำให้คะแนนนิยมของ 'พรรคพลังประชารัฐ' อาจตกลง
หากดูข้อเสนอที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ก็เป็นช่องทางที่ทำให้ได้ยากเช่นกัน
เพราะจังหวะและเงื่อนไขขณะนี้ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะล้มเหลวในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
แต่พรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคตัวแปรอย่าง 'ภูมิใจไทย' ที่มี ส.ส.ในมือ 61 เสียง
และ 'พรรคประชาธิปัตย์' ที่มี ส.ส.เหลือเพียง 48 เสียง (เดิม 51 เสียง ด้วยเหตุที่มี ส.ส. 3 คน ประกอบด้วย ถาวร เสนเนียม ส.ส.ขลา ชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร และอิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ถูกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะต้องคำพิพากษาศาลให้จำคุก) ก็ยังต้องอาศัยความอยู่รอดในการประคองรัฐนาวาพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป
ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์จะเลือกใช้วิธีการ 'ลาออก' ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ยังคงให้เป็นการลงมติเห็นชอบนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา คือต้องใช้เสียงของ ส.ส.และ ส.ว. เห็นชอบผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง และผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ จะต้องมี ส.ส.ในพรรคการเมืองที่ตัวเองถูกเสนอไม่น้อยกว่า 24 เสียง หรือร้อยละ 5 ของจำนวน ส.ส.เท่าที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร (รัฐธรรมนูญ มาตรา 159)
ตัวเลือกนายกรัฐมนตรีตามบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสิทธิเป็นแคนดิเดตนายกฯ
มีเพียงไม่กี่ตัวเลือกเท่านั้น ประกอบด้วย บัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย มี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (ลาออกจากพรรคเพื่อไทย ไปสังกัดพรรคไทยสร้างไทย) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (ลาออกจากพรรคเพื่อไทย เตรียมลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.) และ ชัยเกษม นิติสิริ ปัจจุบันยังสังกัดพรรคเพื่อไทย โดย 3 รายชื่อของพรรคเพื่อไทยยังคงมีคุณสมบัติเป็นนายกฯได้
พรรคประชาธิปัตย์ มีชื่อเดียวคือ 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (พรรคประชาธิปัตย์ ปัจจุบันมี ส.ส.48 คน)
พรรคภูมิใจไทย (ส.ส.61 คน) มี 'อนุทิน ชาญวีรกูล' รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ที่ถูกวางตัวไว้ในบัญชีนายกฯ
พรรคพลังประชารัฐ มีเพียง 'พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา' เพียงชื่อเดียว และก็มีสิทธิที่จะหวนกลับมานั่งในตำแหน่งนายกฯ ได้อีกครั้ง หากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่ประกอบด้วย ส.ส.และ ส.ว.ให้การสนับสนุน
นาทีนี้หาก 'พล.อ.ประยุทธ์' ลาออก ก็มีสิทธิกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกครั้ง
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ส.ว. 250 คน ยังคงให้การสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์
นอกเสียจากว่า ส.ว.ทั้งหมดไม่ต้องการ พล.อ.ประยุุทธ์ ให้กลับมาเป็นนายกฯแล้ว
ตัวเลือกนายกฯ จะเหลือแคนดิเดตตามบัญชีของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในพรรคการเมืองของตัวเองเกินร้อยละ 5
และหากไม่ต้องการใช้ตัวเลือกนายกฯในบัญชีของพรรคการเมือง
รัฐธรรมนูญก็ยังเปิดช่องทางลัดให้นำ 'คนนอก' บัญชีรายชื่อพรรคการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยขั้นตอน 3 ขั้นตอนสูตรพิเศษ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272
ขั้นตอนแรก ส.ส.-ส.ว. รวมกันไม่น้อยกว่า 367 คน เข้าชื่อไปยังประธานรัฐสภาเพื่อขอเปิดประชุมรัฐสภางดเว้นนายกฯในบัญชีรายชื่อ
ขั้นตอนที่สอง เปิดประตูสู่นายกฯ คนนอก ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ต้องมี ส.ส.-ส.ว. ไม่น้อยกว่า 489 เสียงเห็นชอบ (จากสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ 733 คน) เพื่อขอให้นำคนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ขั้นตอนที่สาม การลงมติเห็นชอบผู้ถูกเสนอชื่อนอกบัญชีให้มาเป็นนายกฯ ซึ่งต้องอาศัยเสียงสองสภา คือ ส.ส. และส.ว. มากกว่า 369 เสียงในการลงมติเห็นชอบนายกฯ คนนอก
ภายใต้สถานการณ์ที่โควิด-19 ระบาดหนัก ข้อเสนอแนวทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะด้วยฐานเสียงที่ค้ำยันอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ มีอยู่อย่างแน่นหนาจากพรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว.
พล.อ.ประยุทธ์ จึงคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปและมีสิทธิอยู่ข้ามถึงปี 2565 ซึ่งเข้าสู่ปีที่ 3
ข่าวที่เกี่ยวข้อง