ไม่พบผลการค้นหา
ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศพึ่งพาทางเศรษฐกิจด้วยการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก แต่หลังจากเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารของราชวงศ์ได้ขึ้นครองอำนาจการปกครองประเทศในทางนิตินัย ซาอุดีอาระเบียได้เปลี่ยนทิศทางประเทศของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกน้ำมัน โดยล่าสุด รัฐบาลซาอุดีอาระเบียเพิ่งโอนหุ้นมูลค่า 2.6 ล้านล้านบาทของบริษัทน้ำมันเข้ากองทุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เพิ่งประกาศว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้โอนหุ้นของ Aramco บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก จำนวนหุ้น 4% หรือคิดเป็นราคากว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท) จะถูกโอนไปยังกองทุนเพื่อความมั่งคงของราชอาณาจักร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ที่พึ่งพาน้ำมันอย่างสูงมาโดยตลอด

นอกจากนี้ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ยังได้อ้างอีกว่า ซาอุดีอาระเบียต้องการให้ประเทศมีกองทุนการลงทุนสาธารณะ (PIF) เพื่อการลงทุนมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 32.6 ล้านล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งจะเป็นกองทุนกลางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ไม่พึ่งพาการส่งออกน้ำมัน โดยในตอนนี้ มีเงินลงทุนอยู่ในกองทุนดังกล่าวน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย

การโอนหุ้นบริษัทน้ำมันมูลค่ากว่า 2.6 ล้านล้านบาทของซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ จะทำให้การผลักดันการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมของซาอุดิอาระเบียขึ้นมาท้าทายกองทุนเพื่อความมั่งคงของชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกของนอร์เวย์ ที่เดือนก่อนมีผลตอบแทนการลงทุนกว่า 14% คิดเป็นมูลค่า 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 42.4 ล้านล้านบาท) โดยส่วนใหญ่มาจากการขายน้ำมันที่รัฐบาลนอร์เวย์เป็นเจ้าของ เช่นเดียวกันกับกองทุนเพื่อการลงทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ ที่มีมูลค่ามากกว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 9.7 ล้านล้านบาท)

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ระบุเพิ่มเติมว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียยังคงถือหุ้นของ Aramco มากที่สุดที่ 94% ทั้งนี้ กองทุนการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบียจะยังมีตนที่เป็นประธานกองทุนด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี หลังจากการประกาศโอนหุ้นดังกล่าว ทำให้ Aramco ปิดตลาดลดลงกว่า 0.6% แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การปรับตัวของหุ้นที่ลดลงในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทุนเพื่อความมั่งคงของราชอาณาจักร

ก่อนหน้านี้ Aramco ได้ประกาศว่า บริษัทน้ำมันของตนได้ตกลงการลดความเข้มข้นการปล่อยคาร์บอนลง 20 ถึง 21 กิโลกรัมของคาร์บอนไดออกไซด์ต่อบาร์เรลน้ำมันดิบภายในปี 2568 หรือ 13% ต่ำกว่าระดับปี 2560 ทำให้เห็นถึงความพยายามของซาอุดีอาระเบียในการปรับตัวเพื่อตามกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติ เพื่อลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดการพึ่งทางเศรษฐกิจของชาติกับน้ำมัน ไปสู่การพึ่งพาเศรษฐกิจภายใต้ภาคการลงทุนและบริการแทน

ที่มา:

https://www.theguardian.com/business/2022/feb/13/saudi-arabia-transfers-80bn-shares-sovereign-fund-green-projects?CMP=Share_iOSApp_Other&fbclid=IwAR36ZkdoVLrbfCxNcKpSalup3h23grNLCAFfRjU7yzxeIPO_GAl5iJfvmUc

https://www.independent.co.uk/climate-change/saudi-arabia-oil-climate-b1824124.html