ทางการอียิปต์แถลงเมื่อวันจันทร์ (16 ต.ค.) ว่า เส้นทางข้ามแดนราฟาห์ ซึ่งเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่จากฉนวนกาซา เกือบจะเปิดใช้งานไม่ได้แล้ว หลังจากเกิดการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สิ่งของด้านความช่วยเหลือหลายร้อยตันในฝั่งอียิปต์ ที่มีความพยายามในการส่งไปยังฉนวนกาซาต้องหยุดชะงักลง
“มีความจำเป็นเร่งด่วน ในการบรรเทาความทุกข์ทรมานของพลเรือนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา” ซาเมห์ โชครี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอียิปต์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวพร้อมระบุเสริมว่า การเจรจากับอิสราเอลของอียิปต์ไม่ประสบผลสำเร็จ “จนถึงขณะนี้ รัฐบาลอิสราเอลยังไม่ได้มีจุดยืน ในการเปิดทางข้ามราฟาห์จากฝั่งฉนวนกาซา เพื่อให้พลเมืองสามารถเดินทางเข้าและออกประเทศที่ 3 ได้”
ในทางตรงกันข้าม สำนักงานของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ระบุในแถลงการณ์ว่า “ขณะนี้ไม่มีการหยุดยิงและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา เพื่อแลกกับการนำชาวต่างชาติออก (จากพื้นที่)”
วิกฤตด้านมนุษยธรรมอันเลวร้ายในฉนวนกาซา ได้ยกสู่ระดับสูงสุดใหม่ หลังจากอิสราเอลตัดการเข้าถึงอาหาร น้ำ เชื้อเพลิง และไฟฟ้า ของชาวปาเลสไตน์ที่เป็นผู้อยู่อาศัย 2.3 ล้านคน ในเขตฉนวนกาซาที่ถูกปิดล้อมโดยกองทัพอิสราเอล ในขณะที่ทางการปาเลสไตน์กล่าวว่า การเปิดฉากโจมตีทางอากาศของอิสราเอลเหนือฉนวนกาซา ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 2,800 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 10,000 ราย
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้แสดงการสนับสนุนข้อตกลง ที่จะอนุญาตให้มีความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา ในขณะที่กลุ่มสิทธิและองค์กรทางการแพทย์ได้ออกมาร้องขอ เพื่อให้มีการบรรเทาสถานการณ์ท่ามกลางสภาพการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว
ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 ต.ค.) มาร์ติน กริฟฟิธส์ หัวหน้าด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า เขาจะเดินทางไปยังพื้นที่ตะวันออกกลาง ในวันอังคาร (17 ต.ค.) เพื่อเจรจาเรื่องการให้ความช่วยเหลือในฉนวนกาซา และระบุเสริมว่าเขาหวังว่าจะได้รับ "ข่าวดี"
นอกจากนี้ กริฟฟิธส์ยังเรียกร้องให้กลุ่มฮามาส ซึ่งปกครองฉนวนกาซา ให้ปล่อยตัวผู้คนมากกว่า 100 คนที่ถูกจับเป็นเชลย ระหว่างการโจมตีอย่างรุนแรงทางตอนใต้ของอิสราเอล เมื่อช่วงวันที่ 7 ต.ค. ใน “ทันที” ทั้งนี้ การโจมตีดังกล่าวของฮามาส ได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,400 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่อิสราเอลกล่าวว่าส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
ในอีกทางหนึ่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาเตือนเมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ว่า ในฉนวนกาซา “มีน้ำ ไฟฟ้า และเชื้อเพลิงเหลือใช้ได้อยู่แค่เพียง 24 ชั่วโมง” ก่อนที่ “ภัยพิบัติที่แท้จริง” จะมาเยือน
จนถึงขณะนี้ อิสราเอลแสดงความสนใจเพียงเล็กน้อย ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ฉนวนกาซา “ผมคัดค้านการเปิดพื้นที่จากปิดล้อม และการนำสิ่งของเข้าไปสู่ฉนวนกาซาอย่างแข็งขัน ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม” อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอิสราเอล กล่าวบนโพสต์โซเชียลมีเดียเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา “พันธกรณีของเรามีต่อครอบครัวของผู้ถูกสังหาร และตัวประกันที่ถูกลักพาตัวไป ไม่ใช่ต่อฆาตกรกลุ่มฮามาสและผู้ที่ช่วยเหลือพวกเขา” แคทซ์กล่าวเสริม
อิสราเอลได้ประกาศสงครามกับกลุ่มฮามาส และคาดว่าจะเปิดการโจมตีภาคพื้นดินในฉนวนกาซา โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายกลุ่มฮามาส แต่ในฉนวนกาซานั้น ไม่มีสถานที่ใดสำหรับชาวปาเลสไตน์ ที่จะสามารถใช้เพื่อหลบหลีกการโจมตีของอิสราเอลได้ และอิสราเอลได้สั่งให้ประชากรทั้งหมดทางตอนเหนือของฉนวนกาซา ซึ่งมีมากกว่าหนึ่ง 1 ล้านคน อพยพออกไปยังตอนใต้ ซึ่งเป็นคำสั่งที่สหประชาชาติกล่าวว่า อาจก่อให้เกิดหายนะด้านมนุษยธรรม
ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากยังหวาดกลัวว่า การอพยพในครั้งนี้อาจกลายเป็นการเนรเทศชาวปาเลสไตน์ ให้ออกไปจากพื้นที่อย่างถาวร ดังที่เกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์นักบาเมื่อปี 2491 เมื่อกองกำลังอิสราเอลได้ขับไล่ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคน ให้ออกจากบ้านของพวกเขา และห้ามไม่ให้พวกเขาเดินทางกลับมายังปาเลสไตน์อีก
ที่มา: