จากกรณีตำรวจการสลายชุมนุมรุนแรงตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยกระสุนยาง แก๊สน้ำตา และถูกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอย่างเกินกว่าเหตุเป็นจำนวนมากนั้น มีความเหมาะสมแบบได้สัดส่วนการใช้กำลังพลเข้าควบคุมกับเหตุการณ์หรือไม่?
ล่าสุดวันที่ 14 ส.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลและอดีตผู้บังคับการกองปราบ กล่าวถึงการสลายการชุมนุมดังกล่าวว่า จากการติดตามยังยืนยันว่าการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะย่อมทำได้ เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อประกาศใช้เพื่อควบคุมภัยทางการระบาดของโรคโควิค-19 มิใช่การมาจัดการกับผู้เรียกร้องที่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาโรคโควิค-19 บกพร่องจนมีคนตาย? แต่การการจัดกำลังซึ่งควรจะเป็นไปเพื่อดูแลป้องกันเหตุ กลับเป็นการปราบปรามและการกระทำที่เกินกว่าสัดส่วนของอำนาจรัฐที่ควรกระทำในการควบคุมเหตุ
"ภาพที่เห็น 3-4 ครั้งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่มีปฏิบัติการอย่างเป็นยุทธศาสตร์ คือปล่อยให้มวลชนเข้าพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ อาจเรียกว่าพื้นที่สังหารหรือกับดัก มีจุดสูงข่ม ชัยภูมิที่เป็นต่อทุกครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีชัยชนะทุกครั้ง" พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว
พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวอีกว่า เมื่อมวลชนเข้ามาในพื้นที่ตรงนี้ ม็อบเคลื่อนมาก็ทำได้เพียงตะโกนบอกว่าต้องการอะไร แม้จะปาข้าวของ อาจพยายามขยับเคลื่อนคอนเทนเนอร์ เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของกิจกรรม ก็จะเกิดการลงมือจากฝ่ายรัฐในการระดมยิง มีปะทะ เกิดความระบาดทางอารมณ์ของผู้ชุมนุมบางส่วนหรืออาจจะเป็นผู้แทรกซึม? จนไปเผาทำลายข้าวของสาธารณะ ซึ่งก็น่าสนใจว่ามีคนใส่หมวกที่สื่อมวลชนจับภาพได้เข้ามาผสมโรง ซึ่งไม่รู้แน่ว่าเป็นใคร? แต่วิ่งเข้าหลังกองกำลังของรัฐ ภาพยังปรากฏในสื่อออนไลน์ชัดเจนการเผาและปะทะกันอย่างรุนแรงของสองฝ่าย อย่างนี้ ก็ยิ่งเข้าทางให้ตำรวจ คฝ.แต่จริงๆ คือ กองกำลังปราบจลาจลปฏิบัติการหนักขึ้น
"ผมมีข้อสังเกตถึงการชุมนุมที่ผ่านมาว่า คฝ.นั้นเป็นกองกำลังของรัฐ ที่มีหน้าที่ป้องกันเหตุ มีอาวุธเพียงแค่โล่กับกระบอง ควรต้องนิ่ง อดทนต่อการยั่วยุและการปะทะ ซึ่งที่ผ่านมาจะใช้ คฝ.โรงพักที่ได้เกณฑ์มาจากทั่วกรุงเทพฯและทั่วประเทศมาช่วยดูแลพี่น้องผู้ชุมนุม แต่พอรอบนี้ พอม็อบประกาศจะไปบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชุดที่เอามาใช้กลับเป็น อคฝ.(กก.ปจ.เดิม) ในสังกัด บชน.ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติการปราบปราม เหมือนทหาร พวกนี้ไม่เคยรู้จักประชาชน" พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว
พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวอีกว่า ดังนั้น เมื่อมาถึงก็ติดอาวุธเหมือนกับท้าตีท้าชกกับประชาชนเลย ไม่อดทน ไม่นิ่งเฉย แถมยังจะสนุกอย่างที่มีสื่อเก็บเสียงได้ พวกเขาชวนทะเลาะและไล่ล่า ภาพที่นั่งท้ายรถกระบะแล้วไล่ยิงประชาชนนั้น รุนแรงมาก
"ผมอยากถามว่า ทำไมที่ผ่านมา ใช้แต่ คฝ.ของโรงพัก แต่พอจะบุกบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้อีกชุดที่มีหน้าที่คนละแบบ ชุดนี้ไม่เคยเห็นเอาไปปกป้องสถานที่ราชการหรือสถานที่สำคัญอะไรเลย กลับเอามาปกป้องบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว หมายความว่าอะไร พล.อ.ประยุทธ์ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ? เพราะมีทหารเป็นกองพล ดูแลอยู่แล้ว และการใช้ชุดนี้ปฏิบัติการ จะเป็นการผลักดันทำให้เกิดความวุ่นวาย และข้ามเส้นไปสู่การยกระดับให้เป็นสถานการณ์ร้ายแรงใช่หรือไม่?" พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ประกาศใช้อยู่ผ่านมาเป็นปีแล้วนั้น ออกมาเพื่อควบคุมการระบาดของโรค ไม่ได้ประกาศเพื่อควบคุมม็อบ แต่ทว่าก็ซ่อนเร้นไว้ ไม่ให้ม็อบออกมาด้วยข้ออ้างต่างๆ อย่างถามว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นกระตุ้นให้เข้ากับ มาตรา 11 ที่ให้นายกฯ โดยความเห็นชอบของ ครม. มีอำนาจประกาศให้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงใช่หรือไม่? และก็ใช้มาตรา 12 จับบุคคลกุมบุคคลได้ไม่เกิน 7 วันใช่หรือไม่?
แต่อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.สุพิศาลเห็นว่านี่ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่นี่เป็นการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพื่อเรียกร้องจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล
"ดังนั้น การใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มันผิดฝาผิดตัว อ้างป้องกันการแพร่ระบาด แต่ดันมีความทับซ้อนมาที่เรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เริ่มที่การสาธารณสุข แต่เอามาใช้ครอบเป็นหลังคาใหญ่คลุมไปหมด ดังนั้น อยากให้ประชาชน สื่อมวลชนช่วยกันจับตา ระวังรัฐจะยกระดับให้เข้ากับองค์ประกอบนี้" พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว