ไม่พบผลการค้นหา
สภาถกญัตติ CPTPP 'หมอระวี' กางปมตีความแตกต่างฝ่ายหนุน-ฝ่ายต้าน CPTPP ยืนยันต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ หวั่นติดหล่มจนเสียหาย 'จิราพร' ร้องรัฐแจงให้ชัดไทยจะได้ประโยชน์เพิ่มจาก FTA อย่างไร หวั่นไม่คุ้มเสีย กระทบภาคเกษตร-ความมั่นคงทางอาหาร

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 10 มิ.ย.2563 เพื่อพิจารณาญัตติเพื่อขอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมข้อตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP ที่เสนอโดยหลายพรรคการเมือง อาทิ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ และ นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นต้น 

นพ.ระวี กล่าวว่า ในขณะนี้ CPTPP มีสมาชิกทั้งสิน 11 ประเทศ แบ่งเป็นประเทศที่ให้สัตยาบันแล้ว 7 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ส่วนประเทศที่ยังไม่ให้สัตยาบันมี 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ชิลี บูรไน และเปรู ซึ่งจะมีการประชุม CPTTP ครั้งต่อไป จะมีขึ้นในช่วงเดือน ส.ค.2563 นี้ ทำให้รัฐบาลต้องเร่งในการส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมเจรจา 

นพ.ระวี กล่าวว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งข้อดีของการเข้าร่วม CPTTP ว่าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ขยายตัวร้อยละ 0.12 คิดเป็นมูลค่า 13,323 ล้านบาท การลงทุนขยายตัวร้อยละ 5.14 คิดเป็นมูลค่า 148,240 ล้านบาท การส่งออกขยายตัวร้อยละ 3.47 คิดเป็นมูลค่า 271,340 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานคิดเป็นมูลค่า 73,370 ล้านบาท 

ขณะที่ หากไทยตัดสินใจไม่เข้าร่วม CPTPP จะเกิดค่าเสียโอกาสจากการเป็นห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคและของโลก โดยจีดีพีจะลดลงร้อยละ 0.25 คิดเป็นมูลค่า 26,629 ล้านบาท การลงทุนลดลงร้อยละ 0.49 คิดเป็นมูลค่า 14,270 ล้านบาท การส่งออกลดลงร้อยละ 0.19 คิดเป็นมูลค่า 14,560 ล้านบาท และมูลค่าการจ้างงานจะลดลง 8,440 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม ต่อมาภาคประชาชนและภาคประชาสังคม นำโดยนายวิวัฒน์ ศัลยกำธร อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยเพราะจะเป็นการอุ้มบริษัทข้ามชาติ ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของคนไทย เช่นเดียวกับ นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าหากเข้าร่วม CPTPP ถือเป็นรัฐบาลสิ้นคิด

ยก 8 ปม หน่วยงานรัฐเห็นต่างภาคประชาสังคม

จากการคัดค้านต่างๆ มากมายว่าทำไมเอกสารฉบับเดียวกัน แต่ตีความแตกต่างกัน ดังนั้น จึงขอนำประเด็นที่ภาครัฐและภาคประชาชนตีความแตกต่างกันจำนวน 8 ประเด็น ประกอบด้วย 

1.สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา (CL) ภาครัฐตีความว่าให้สิทธิแก่ประเทศสมาชิกบังคับ CL และไม่ห้ามใช้มาตรการเพื่อคุ้มครองการสาธารณสุขและการเข้าถึงยา แต่ภาคประชาชนมองว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเสียค่าโง่จะถูกฟ้องโดยรัฐภาคีหรือนักลงทุนต่างชาติหากรัฐบาลใช้มาตรการ CL ยา 

2.สิทธิบัตรและยาสามัญ ภาครัฐตีความว่าถ้าไทยเข้า CPTPP แล้วไม่ต้องขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรยา ไม่ผูกขาดข้อมูลการทดสอบยา และไม่กระทบต่อการนำเข้าส่งออกยาสามัญ แต่ภาคประชาชน มีความเห็นว่า เกิดการผูกขาดข้อมูลความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการกีดกันและชะลอการแข่งขันของยาชื่อสามัญ หากผ่านข้อตกลงนี้จะทำให้ประเทศไทยต้องใช้ยาสามัญแพงขึ้น 

3.การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ภาครัฐตีความว่าเกษตรกรสามารถนำพืชใหม่ไปใช้ได้ ทั้งผลผลิตและผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องขออนุญาตหากซื้ออย่างถูกต้องกฎหมายและพัฒนาต่อยอดพันธุ์ใหม่ได้ รวมไปถึงสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับนักปรุงพันธุ์พืชรายย่อย แต่ภาคประชาชน เห็นแย้งว่าสิทธิในการเก็บพันธุ์พืชใหม่นั้นขึ้นอยู่กับรัฐเจรจาขอผ่อนผัน ซึ่งอาจจะได้บางกรณี และเกิดการขยายการผูกขาดไปถึงผลิตผลและผลิตภัณฑ์ด้วย 

4.การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทั้งนี้ ภาครัฐมองว่าถ้าเข้าร่วม CPTPP จะสามารถกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการเปิดตลาดเพื่อปกป้องผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศ และสามารถขอเวลาปรับตัวในการเปิดตลาด ซึ่งบางประเทศขอถึง 25 ปี แต่ภาคประชาชนให้ความเห็นว่าห้ามให้มีแต้มต่อในการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ประกอบการไทยเหนือกว่าสมาชิก CPTPP และห้ามบังคับใช้สินค้าไทย และห้ามกำหนดการถ่ายทอดเทคโนโลยี 

5. การดัดแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต หรือ GMOs ภาครัฐให้ความเห็นว่าประเทศไม่ต้องปรับแก้กฎหมายในประเทศเกี่ยวกับสินค้า GMOs และไม่ต้องเปิดตลาดสินค้า GMOs และการนำเข้าสินค้า GMOs เข้ามาในไทยต้องถือตามกฎหมายไทย แต่ข้อมูลจากภาคประชาชนระบุว่าะการนำเข้าสินค้า GMOs จะต้องถือตามกฎหมายของประเทศที่ส่งออกสินค้า ส่วนการนำเข้าสินค้า GMOs มายังประเทศไทย หากประเทศไทยไม่รับสินค้านั้นจะต้องประเมินความเสี่ยงและความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร 

6.การคุ้มครองการลงทุน ใน CPTPP จะต้องเกิดการคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ก่อนประกอบกิจการหรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และการลงทุนที่ไม่ได้รับการอนุมัติคุ้มครองเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องรัฐได้ผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ หากเป็นเช่นนี้อาจเกิดค่าโง่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เช่น ในช่วงโควิดที่ไทยต้องล็อกดาวน์เศรษฐกิจในไทยและเกิดผลกระทบต่อนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนสามารถฟ้องประเทศไทยได้  

7.กรณีการควบคุมการขึ้นทะเบียนเครื่องสำอาง หากไทยเข้าร่วม CPTPP การควบคุมการอนุญาตเครื่องสำอางจะเป็นระบบแจ้งโดยสมัครใจหรือบังคับ โดยองค์การอาหารและยาจะไม่มีอำนาจไปบังคับได้ แม้จะมีข้อดี คือ สามารถจดทะเบียนได้เร็ว แต่อาจจะเกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค

8.เรื่องอื่นๆ เช่น ข้อกังวลเรื่องเครื่องมือแพทย์มือสอง รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 กำหนดให้รัฐบาลไทยมีสิทธิตั้งกรอบการเจรจาและส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจากับต่างประเทศ ซึ่ง หากรัฐบาลเห็นว่าควรดำเนินการลงนามจึงค่อยส่งมาให้สภา ต่างจากรัฐธรรมนูญในอดีต เช่ น รธน.2550 ที่กำหนดให้รัฐบาลจะต้องนำกรอบการเจรจามาส่งให้สภาให้ความเห็นชอบก่อน 

ระวี มาศฉมาดล พลังธรรมใหม่ สภา ประชุมสภา29_200529_0028.jpg
  • นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่

"ด้วยเหตุนี้ หากสภาไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาก่อน อาจจะเกิดผลเสียเพราะประชาชนและ ส.ส.จะไม่มีส่วนร่วม เมื่อศึกษาเรื่องนี้จะเสนอความเห็นให้กับรัฐบาลดำเนินการต่อไป ที่สำคัญจะสามารถร่วมกันหาทางเลือกอื่นนอกเหนือไปจากการเข้าร่วม CPTPP แม้ภาครัฐมองว่าหากประเทศไทยเข้าร่วม CPTPP ล่าช้าจะทำให้ประเทศตกรถ แต่ผมคิดว่าตกรถยังดีกว่าติดหล่มหรือไม่ หากเกิดผลเสียมากมาย ถึงวันนั้นใครจะรับผิดชอบ โลกไม่ได้เพียงต้องการการแข่งขันโดยเสรีเท่านั้น แต่ต้องการการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมด้วย" นพ.ระวี กล่าว

'จิราพร' ชี้หากร่วมวง CPTPP ไทยต้องได้มากกว่า FTA

น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จากสมาชิก 11 ประเทศที่จะร่วมกันใน CPTPP มี 9 ประเทศที่ไทยทำความตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTA แล้ว และจาก 7 ประเทศ เป็นสมาชิกหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ร่วมกับไทยอยู่แล้ว ส่วนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น ก็มีการตกลง FTA ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ประเทศละ 3 ฉบับอยู่แล้ว รวมถึงชิลีและเปรู ดังนั้นเหลือแค่ 2 ประเทศที่เรายังไม่มี FTA ด้วยคือเม็กซิโกและแคนาดา

ดังนั้นผลการศึกษาของหน่วยงานรัฐที่บอกว่าถ้าเข้าร่วม CPTPP แล้ว GDP ของไทยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.12 นั้น ไม่สามารถใช้อธิบายประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเข้าร่วมในครั้งนี้ได้ อย่างแท้จริง เพราะเป็นการนำเอา 9 ประเทศ ที่ไทยมี FTA ด้วยอยู่แล้วมาคำนวณรวม หากจะดูให้ถูกต้องต้องดูว่าจะให้สิทธิพิเศษอะไรกับไทยที่เกินไปกว่า FTA ที่มีกับ 9 ประเทศแล้ว โดยต้องศึกษาส่วนต่างที่ไทยเคยได้ทั้งสินค้าบริการการลงทุน ต้องชั่งน้ำหนักเทียบว่าสิ่งที่ไทยจะสูญเสียไปคุ้มกับสิ่งที่จะได้มาหรือไม่

ส่วนการอ้างว่าจะทำให้ไทยได้ตลาดเพิ่ม ในความจริงแม้ไม่มีข้อตกลงนี้ เราก็สามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศสมาชิก CPTPP ได้อยู่แล้ว ส่วนที่ว่าได้สิทธิพิเศษ หรือภาษีสินค้าที่ลดลง ซึ่งถือว่าเป็นของดีในการเข้าร่วม แต่ผลการศึกษาได้เขียนไว้ชัดหรือไม่ว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ไทยจะได้เพิ่มนอกเหนือจาก FTA ทุกฉบับกับ 9 ประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าไหร่ และที่สำคัญหากไทยต้องเปิดตลาดหรือลดภาษีให้กับประเทศสมาชิกจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้จากการภาษีนำเข้าด้วย รวมถึงต้องเปิดการแข่งขันระหว่างสินค้าไทยกับสินค้าที่นำเข้าด้วย

ส่วนที่ว่าไทยจะสามารถเปิดตลาดใหม่กับเม็กซิโกและแคนาดานั้น พบว่าไทยมีมูลค่าการค้ากับสองประเทศนี้น้อยมาก และเรายังเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าอีกด้วย หลายรายการ มีภาษีนำเข้าเป็น 0 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว

ไทยได้ไม่คุ้มเสีย

ดังนั้นจึงไม่เห็นการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับสิ่งที่ไทยต้องสูญเสียไปจากการเข้าร่วมดังกล่าว จึงต้องชั่งน้ำหนักว่าคุ้มหรือไม่จะไป แลกกับสิ่งที่อ่อนไหวต่อไทย เช่นผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหารที่เราต้องเข้าร่วมอนุสัญญาพันธุ์พืชใหม่ หรือ UPOV1991 ที่หลายภาคส่วนแสดงความกังวลอยู่ ผลที่ตามมาคือการผูกขาดการขยายพันธุ์พืชในระยะยาว การครอบงำเสรีภาพทางวัฒนธรรมการเพาะปลูกการเกษตรของไทย ทั้งระบบ หากในอนาคต บ้านเมืองเกิดวิกฤตทางด้านอาหาร มีใครกล้ารับประกันหรือไม่ว่าการเข้า UPOV1991 จะไม่กระทบต่อความมั่นคงอาหารของไทย และยังอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารของไทยที่มีส่วนประกอบของพืชจดทะเบียนของไทย ที่อาจจะเจอประเด็นการตรวจสอบย้อนกลับ โดยรัฐบาลก็ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างว่าจะกระทบหรือไม่

"ข้ออ้างว่าถ้าเข้าร่วมแล้วไทยจะได้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก ในทางทฤษฎีฟังดูดี แต่หากศึกษารายการรายการอาหาร ระเบียบกฎเกณฑ์ กรมศุลกากร การเยียวยาการค้า แหล่งวัตถุดิบ และกระบวนการผลิตของไทย จะเห็นว่าไม่ได้มีนัยยะสำคัญต่อการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกเลย นี่คือการขี่ช้างจับตั๊กแตนของรัฐบาล และไม่ได้การันตีว่า เราจะสามารถเจาะตลาดเม็กซิโกและแคนาดาได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะเม็กซิโกพึ่งทำข้อตกลงทางการค้าแถบอเมริกาเหนือฉบับใหม่กับอเมริกา และจะมีผลใช้บังคับในเดือน ก.ค.2563 นี้โดยให้สิทธิพิเศษกลุ่มสมาชิกอเมริกาเหนือมากกว่า CPTPP มาก รัฐบาลมั่นใจหรือไม่ว่าเราจะฝ่าด่านข้อตกลงนี้ไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน" น.ส.จิราพร กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :