วันที่ 17 ส.ค. 2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ในวาระที่ 2 ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดย ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้ย้ำว่า เป็นร่าง พ.ร.บ. ฉบับสุดท้ายในสมัยประชุมของสภาฯ นี้แล้ว และเป็นกฏหมายในความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรง จึงขอให้ตั้งใจรักษาองค์ประชุมให้ดี
จากนั้น อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2566 วงเงิน 3.185 ล้านบาท แถลงรายงานการพิจารณาว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้เริ่มพิจารณาตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2565 จนแล้วเสร็จในวันที่ 9 ส.ค. 2565 โดยพิจารณารายละเอียดงบประมาณของทั้ง 734 หน่วยรับงบประมาณ คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาปรับลดงบประมาณไปทั้งหมด 7,644,243,800 บาทถ้วน เช่น รายการที่สามารถปรับลดลงเพื่อความประหยัด รายการที่มีผลการดำเนินการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดคาดว่าไม่สามารถใช้ได้ทันปีงบประมาณ และ รายการที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ตลอดจนรายการที่สามารถใช้ทุนจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่งบกลางได้
เมื่อพิจารณาถึงมาตรา 4 ประธานฯ แจ้งว่า มีกรรมาธิการเสียงข้างนอกขอสงวนความเห็น และมีผู้แปรญัตติกว่าร้อยคน โดยเริ่มที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการผู้สงวนความเห็น ขออภิปรายต่อที่ประชุมให้พิจารณาปรับลดงบประมาณของประเทศลง 5% เพราะเชื่อว่าการจัดสรรงบประมาณมีปัญหา เนื่องจากไม่มองภาพกว้างของคนทั้งประเทศเพื่อกระจายงบประมาณไปสู่จังหวัดต่างๆ อย่างเป็นธรรม
พริษฐ์ ชี้ให้เห็นว่า งบประมาณมีการกระจุกตัวอยู่ตามจังหวัดต่างๆ อย่างชัดเจน โดย 7 จังหวัดที่ได้งบประมาณสูงสุดรวมกันเป็นเฉลี่ย 20-30% ของประเทศ และมีข้อสังเกตว่าจังหวัดที่โครงการบำรุงรักษาถนนหนทาง มีสัดส่วนของ ส.ส.แบบแบ่งเขตในจังหวัด อยู่สังกัดพรรคการเมืองเดียวกับรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ เช่น พรรคภูมิใจไทยที่รับผิดชอบกระทรวงคมนาคม
ทั้งนี้ การจัดสรรงบประมาณยังมีปัญหาคือไม่มองภาพใหญ่ ในโครงการทั้งหมด 2,569 โครงการ มีการแบ่งเป็นเบี้ยหัวแตก หรือโครงการขนาดเล็กงบประมาณน้อยกว่า 100 ล้านบาทกว่า 1,825 โครงการ หรือคิดเป็น 71% ของโครงการทั้งหมด จึงไม่บ่งบอกถึงปัญหาสำคัญเร่งด่วนซึ่งภาพรวมของประเทศยังเผชิญอยู่ อีกทั้งไม่มองภาพไกล คือเน้นแก้ปัญหาในระยะสั้นมากกว่าระยะยาว เช่น ปัญหาสังคมสูงวัย และปัญหาภาวะโลกรวน ซึ่งยังไม่มีงบประมาณจัดสรรมาแก้ไขส่วนนี้น้อยเกินควร
พริษฐ์ ยังย้ำถึงปัญหาการจัดสรรงบประมาณแบบไม่มองภาพรวม คือจัดงบแบบต่างหน่วยงานต่างแยกกัน แม้จะมีพันธกิจคล้ายกัน ก็ยังแยกกันบริหาร อาจส่งผลให้ดำเนินการอย่างซ้ำซ้อนกันได้ง่าย ทั้งในระดับต่างกระทรวงหรือภายในกระทรวงเดียวกัน หากรัฐบาลยังคงจัดสรรงบประมาณโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ อาจส่งผลต่อประเทศในภาพรวมได้
จากนั้น ทั้งกรรมาธิการฯ เสียงข้างน้อย ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง อาทิ ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ผ่องศรี ธาราภูมิ คณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาฯ สงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย และ พล.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ โดยส่วนใหญ่เสนอให้ปรับลดวงเงินงบประมาณในภาพรวมลง ราว 5-6% เนื่องจากไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ โครงการต่างๆ ที่ตั้งงบไว้ยังไม่มีความพร้อม และการจัดสรรงบไม่สมเหตุสมผล พร้อมเสนอให้นำงบส่วนที่ปรับลดไปใช้ในส่วนที่จำเป็น
รมว.คลังแจงงบกลาง 3.185 พันล้าน ไม่ต้องปรับลด เชื่อปีหน้าจัดเก็บรายได้มากขึ้น เผยหากฉุกเฉินอาจขยายเพดานหนี้สาธารณะ 70%
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2566 ได้ลุกขึ้นชี้แจงภาพรวมมาตรา 4 เกี่ยวกับงบประมาณภาพรวมของประเทศ โดยอาคม ระบุว่า สำหรับเรื่องการปรับลดงบฯ ปี 2566 ว่ากรรมธิการฯ เสียงส่วนใหญ่ยืนยันว่าวงเงิน 3.185 ล้านบาท มีความเหมาะสมแล้ว เนื่องจากความจำเป็นของหน่วยรับงบประมาณต้องจัดสรรงบการลงทุนให้แต่ละโครงการอย่างเพียงพอ และความจำเป็นในการใช้งบประมาณแผ่นดินในช่วงเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ซึ่งกำลังฟื้นไปอย่างช้าๆ เข่น ภาคการท่องเที่ยวเองก็ดีขึ้นมาตามลำดับ และจะนำมาสู่การจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลในปี 2566 นี้
แม้จะมีปัจจัยไม่แน่นอน อย่างราคาพลังงาน แต่ปัจจุบันแนวโน้มราคาพลังงานก็เริ่มปรับตัวลดลงแล้ว ในส่วนของการจัดเก็บรายได้ยังเป็นไปเกินเป้าหมาย และสูงขึ้นกว่าปี 2564 อาจนำมาสู่การปรับลดภาษีสรรสามิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันไม่ให้เป็นปัญหามากเกินไป ดังนั้น ยังมีความมั่นใจว่าในปี 2566 นอกจากการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน ก็จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหนือกว่าปีที่ผ่านมา
สำหรับข้อสังเกตของสมาชิกต่อการก่อหนี้ และค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกินตัว อาคม ชี้แจงว่า ทางกระทรวงการคลังได้รับการอนุมัติให้ขยายเพดานเพิ่มเป็น 70% ในกรณีที่มีความจำเป็นหรือฉุกเฉิน รัฐบาลยังมีพื้นที่ใช้งบประมาณอื่นที่นอกเหนือจากงบประมาณกลางด้วย แต่จะคุมไว้ไม่เกิน 70%
‘พิเชษฐ’ บี้ ‘ประยุทธ์’ ลาออกกลางสภา
จากนั้น พิเชษฐ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการฯ ผู้สงวนคำแปรญัตติ ได้อภิปรายว่า การขยายเพดานหนี้สาธารณะ 70% ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แปลกคือนายกรัฐมนตรีผู้ยึดอำนาจมา 8 ปี ได้สร้างตัวเลขหนี้สาธารณะอันเป็นสถิติไปถึง 70% แล้ว นายกฯ เพียงคนเดียวสามารถสร้างหนี้ได้เกือบ 5 ล้านล้านบาท จนชนเพดาน
“นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยตั้งแต่ต้นมาจนถึง พล.อ.ประยุทธ์ ได้สร้างหนี้ไว้ 5 ล้านล้านบาท แต่ พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว สร้างหนี้ถึง 5 ล้านล้านบาท ชนเพดานเกือบ 70% หนี้ครัวเรือนเกือบแตะ 15 ล้านล้านบาท เป็นการตั้งสถิติใหม่ทุกสถิติสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถตั้งงบได้เกิน 3.185 พันล้านบาท เพราะจะเกินเพดานหนี้สาธารณะ”
เนื่องในวาระที่ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี ในวันที่ 24 ส.ค.นี้ ในวันที่ 19 ส.ค. ที่จะถึง ซึ่งจะเป็นวันลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2566 หวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้มายืนบนบัลลังก์นี้ แล้วบอกว่า ผมพอแล้ว ผมหยุดแล้ว ขอมอบงบประมาณคืนให้กับประชาชน จะเป็นภาพที่สง่างามมาก และด้วยการกู้อย่างมหาศาล รัฐบาลใดที่มาทำหน้าที่ต่อจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะน่าสงสารที่สุด เพราะต้องมาใช้หนี้ให้เผด็จการ ไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
“ผมอยากจะให้ท่านประยุทธ์พ้นเสียตั้งแต่วันนี้ ไปเถอะ กลับบ้านไปเลี้ยงหลานเสีย เอื้อประโยชน์พวกพ้อง งบประมาณกระจุกที่บ้านรัฐมนตรี” พิเชษฐ กล่าว