ไม่พบผลการค้นหา
'พิชัย' ชักชวน กลุ่ม CEOs ลงทุนเพิ่มในอุตสาหกรรมไฮเทคสมัยใหม่, PCB, เซมิคอนดักเตอร์, อิเลคโทรนิก, Data Center, Ai, Ai Hardware, EV พร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ มั่นใจ เศรษฐกิจไทยยังไปได้ดีหลังครึ่งปีแรกโต 3% แนะ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศต้องทำทุกด้านพร้อมๆกัน และ การเมืองต้องนิ่ง

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พาณิชย์ กล่าวปาฐกถาในงาน CEO Networking night ตามคำเชิญของ Thailand Electronics Circuit Association (THECA)ว่า ตนได้ให้ความสนใจการผลิตแผงวงจรอิเล็กโทรนิก Printed Circuit Boards และ Semiconductors มาหลายปีแล้ว และ ได้มีโอกาสพบผู้ประกอบการจากต่างประเทศและในประเทศเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งชักชวนและสนับสนุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะเห็นเป็นโอกาสที่ไทยจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการส่งออก ซึ่งปัจจุบันการลงทุนผลิต PCB ในประเทศไทยได้ขยายตัวอย่างมาก จนติดอันดับของโลก จนมี CEO ของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆมารวมกันในงานนี้ และทำให้มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องทางด้าน Hi-Tech ตามมา สร้าง Ecosystem ของอุตสาหกรรมใหม่ของไทยได้อย่างมาก ซึ่งประเทศไทยจะต้องดึงดูดการลงทุนในด้านนี้อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องต่อไป ตนจึงได้ชักชวนให้ กลุ่ม CEOs เข้ามาลงทุนเพิ่ม โดยพร้อมให้การสนับสนุนในทุกด้านเหมือนที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ นายพิชัย ยังกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวได้ 2.8% ทำให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกโตได้ 3 % ไม่ได้แย่อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ซึ่งตนได้ย้ำเสมอตั้งแต่ต้นปีแล้วว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะไม่แย่ โดยจะขยายตัวได้มากกว่า 2% แน่นอน และ การที่ประเทศไทยสามารถเจรจาภาษีทรัมป์ได้สำเร็จโดยได้อัตราที่ 19% เทียบเท่าประเทศคู่แข่งอื่นๆในภูมิภาคนี้ ตามที่ตนเคยบอกย้ำไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเจรจาได้แน่ จะช่วยทำให้การค้าการลงทุนของไทยยังคงไปได้ดี โดยตนยังมั่นใจว่าการส่งออกยังคงจะเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และ การส่งออกจะยังคงเป็นบวกต่อเนื่องไปได้ หลังจากครึ่งปีแรกของปี 68 การส่งออกขยายตัวได้แล้วถึง 15% โดยการส่งออกเดือนกรกฎาคมก็ยังขยายตัวต่อไปได้ดีและการขอส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรกพุ่งถึง 1.05 ล้านล้านบาท หลังจากปี 2567 มีการขอส่งเสริมการลงทุน 1.14 ล้านล้านบาทและลงทุนจริงเกือบทั้งหมด ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยยังดำเนินไปได้ดี และหากการส่งออกและการลงทุนยังคงขยายตัวได้ในระดับนี้ ไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวและประทศไทยจะสามารถกลับมาแข่งขันได้อย่างแน่นอน

การส่งออกของไทยที่ขยายตัวมากขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกของสินค้าจากอุตสาหกรรมไฮเทคที่เข้ามาลงทุนกันมากตามตัวเลขของการลงทุน โดยที่หลายโรงงานเริ่มเสร็จและทะยอยส่งออกกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ การเจรจาภาษีทรัมป์ที่สำเร็จนี้ต้องยกเครดิตส่วนสำคัญให้กับทีมกระทรวงพาณิชย์ด้วยที่มี นายวุฒิไกร ลีวีระพันธ์ุ ปลัดกระทรวง นางโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้า และ นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ทั้งหมด ที่ทำงานกันอย่างหนัก และลงรายละเอียดในการเจรจากันมาตั้งแต่ที่ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ได้มีคำสั่งแต่งตั้งทีมทำงานนี้เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องเร่งหาทางเยียวยาประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากการเจรจานี้ที่ทำให้ภาพใหญ่ของประเทศยังดำเนินต่อไปได้ 

แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่มักจะพูดกันถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศนั้น ประเทศไทยจะต้องทำหลายด้านไปพร้อมๆกัน เช่น การต้องสร้างธุรกิจใหม่ๆ เหมือนที่มี การผลิต PCB เซมิคอนดักเตอร์ Data Center, Ai, EV, Robotic etc. แล้ว การปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรก็เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และ ผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก และ การมี Food innovation เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตร รวมถึงสินค้า GI ที่มีลักษณะพิเศษต่างจากที่อื่น ซึ่งจะเพิ่มราคาได้มากขึ้น 

นอกจากนี้การปรับปรุงและพัฒนาการศึกษาของไทยให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ซึ่งหากไทยจะขยายตัวทางด้าน Hi-Tech ไทยก็ต้องเร่งผลิตวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถค้นคว้าวิจัย อีกทั้งคนไทยรุ่นใหม่จะต้องมีความสามารถและมีความชำนาญในการใช้ Ai ให้เป็นประโยชน์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต 

ที่สำคัญคือการบริหารและพัฒนาระบบการเงิน ค่าเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยจะต้องสามารถทำให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ อีกทั้งต้องมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับธุรกิจ SMEs ทั้งนี้ยังต้องปรับเรื่องต่างๆอีกมาก เช่น การแก้ไขปัญหาหนี้ที่เป็นเรื่องใหญ่ ปัญหาค่านิยมที่ผิดๆ การแก้ไขอัตราการเกิดที่ต่ำมากจนจำนวนประชากรลดลง สัดส่วนรายได้ของรัฐต่อจีดีพีที่ยังต่ำมาก เป็นต้น เพื่อปรับโครงสร้างให้ประเทศไทยรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะที่สำคัญคือ การเมืองไทยจะต้องมีเสถียรภาพ เพราะปัญหาการเมืองตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาทำความเสียหายให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นกันมาแล้ว