โดย ‘ธนาธร’ ใช้ข้อความว่า “It's just the beginning” พร้อมระบุประโยคขยายความว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง
‘ปิยบุตร’ ใช้ข้อความว่า Do you hear the people sing? และ ‘ช่อ-พรรณิการ์’ ใช้ข้อความว่า If we BURN, yo BURN with us ! พร้อมระบุว่า #คณะก้าวหน้า เปิดหน้าประวัติศาสตร์บทที่ 2 เชิญชวนมาแสดงออกผ่านแมส เขียนความอึดอัดคับข้องใจของคุณออกมา อย่าให้โควิด-19 หยุดเสรีภาพในการแสดงออกของเรา
ซึ่งทั้ง ‘สามสหาย’ ก็เดินเครื่องเต็มที่ ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะไม่มี ‘สถานะ ส.ส.’ ให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป ซึ่งความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ
เริ่มตั้งแต่ เม.ย. 2563 ที่ ‘ธนาธร’ ได้โพสต์แคมเปญโซเชียลฯ 10 yearschallenge โดยเล่าถึงสมัยที่ตัวเองร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. เจอเหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. เมื่อ 10เม.ย. 2553 ที่ ถ.ราชดำเนิน พร้อมเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่นำมาซึ่ง ‘รอยแผล’ ที่แขนซ้ายตนเอง แม้จะหายไปแล้ว แต่บาดแผลลึกในสังคม ยังไม่ได้รับการเยียวยา
ส่วน ‘ปิยบุตร’ ก็กลับมาพูดถึงเรื่อง ‘การเมือง’ ที่ถนัด โดยเฉพาะประวัติศาสตร์การเมืองฝรั่งเศส จนทำให้มีการมองว่าเป็นการ ‘ตีวัวกระทบคราด’ หรือไม่ ซึ่งเป็นบทที่ ‘ปิยบุตร’ แสดงมาตั้งแต่อยู่ในคณะนิติราษฎร์ แต่เมื่อมาตั้งพรรคอนาคตใหม่และทำหน้าที่ ส.ส. การแสดงออกลักษณะนี้ของ ‘ปิยบุตร’ ก็ลดลงไปอย่างชัดเจน รวมทั้งวลี ‘ผู้กำกับภาพยนตร์’ ที่ ‘ปิยบุตร’ ได้กล่าวทิ้งท้ายในวันยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้เห็นทิศทางการต่อสู้หลังจากนี้ของพวกเขาเอง
อีกเหตุการณ์ที่สำคัญ ย้อนกลับไป ปลายเดือน ก.พ. 2563 ‘ปิยบุตร’ ยอมรับว่า ตนและ ‘ธนาธร’ ได้พบกับ ‘บิ๊กแดง’พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. โดยเป็นการพูดคุย ว.5 ตั้งแต่ต้น ก.ย.62 ก่อนที่เรื่องจะหลุดออกมาเมื่อปลาย ก.พ. 2563 หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรค
ซึ่งเรื่องราวการพูดคุยไม่มีหลุดออกมาตลอดช่วง 6 เดือน โดย ‘ปิยบุตร’ ระบุว่าการพูดคุยเป็นเรื่องการปฏิรูปกองทัพ การแก้ไขปัญหา จ.ชายแดนภาคใต้ ไม่มีเรื่องการต่อรองผลประโยชน์หรือดีลใดๆ เปรียบเป็น ‘สัญญาลูกผู้ชาย’ ของทั้ง 2 ฝ่าย แต่ผลการพูดคุย กลับไร้ผล เพราะได้เกิดเวทีแผ่นดินของเราฯ ทั้งของ พล.อ.อภิรัชต์-ปิยบุตร คู่ขนานกัน แต่ละคนละวัน เพื่อโจมตีอีกฝ่ายและหักล้างข้อมูล ช่วงต้นเดือนต.ค.62
ล่าสุดมีปรากฏการณ์ ‘เลเซอร์ตามหาความจริง’ เกิดขึ้นช่วงคืน 10 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยปรากฏแสงเลเซอร์และภาพฉายแสดงถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. ช่วง พ.ค.53 ในหลายจุดของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะพื้นที่สัญลักษณ์ เช่น แยกราชประสงค์ วัดปทุมวนาราม ซอยรางน้ำ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และกระทรวงกลาโหม โดยภาพถ่ายเหล่านี้ถูกแพร่ลงทวีเตอร์ ซึ่งมีต้นทางรูปภาพอย่างมีนัยสำคัญจากทวีตเตอร์ของ ‘ช่อ-พรรณิการ์’ ที่ทวีตเป็นลำดับแรกๆ
ซึ่งก่อนที่คณะก้าวไกลโดย ‘ช่อ’ จะโพสต์คลิปเบื้องหลังว่าเป็นผู้ปฏิบัติการเลเซอร์ครั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงก็พุ่งเป้ามาที่ ‘คณะก้าวหน้า’ เป็นลำดับต้นๆอยู่แล้ว โดยดูจากเนื้อหาที่สื่อสารออกมา อีกทั้งเทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงออก โดยรวมแล้วเป็น ‘สไตล์อนาคตใหม่’ นั่นเอง
จนช่วงค่ำ 11พ.ค.ที่ผ่านมา ‘ช่อ-พรรณิการ์’ ได้เผยคลิปเบื้องหลังการทำงานของทีมเลเซอร์ในรถตู้ที่มีประมาณ 7 คน ในการขับไปพื้นที่ที่ได้ปักหมุดไว้แล้ว พร้อมฉายแสงเลเซอร์จากบนรถตู้ไปบนสิ่งปลูกสร้าง จากนั้นก็จะมีคนเก็บภาพทั้งคลิปและภาพนิ่งเพื่อนำมาขยายผลต่อในโซเชียลฯ ซึ่งปฏิบัติการเช่นนี้ไม่ได้หวังผลทันทีในพื้นที่ แต่ต้องการนำมาขยายผลผ่านพื้นที่โซเชียลฯ ที่อดีตพรรคอนาคตใหม่ได้เปรียบและยึดพื้นที่นี้ได้มากกว่ากลุ่มการเมืองอื่นๆ อย่างไรก็ตามฝ่ายความมั่นคงได้ให้ ตร. เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการทำการสืบสวน เพราะเป็นพื้นที่ดูแลของนครบาล
ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงได้จับสังเกตที่อุปกรณ์ที่นำมาใช้ในปฏิบัติการเช่นนี้ เพราะเป็น ‘อุปกรณ์เฉพาะ’ ไม่ได้มีกันทุกคน โดยเฉพาะเครื่องฉายเลเซอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการทำกราฟฟิก จึงมีการตีวงแคบมากขึ้นว่าเป็นเครือข่ายใดของอดีตพรรคอนาคตใหม่กับคณะก้าวหน้า
อีกทั้ง ตร. ได้ย้อนดูกล้อง CCTV ที่ติดตั้งตามถนนและสี่แยกต่างๆ ในการติดตามรถตู้คันดังกล่าวว่าเริ่มจากจุดใดไปสิ้นสุดที่จุดใด โดยมีการเผยแพร่บางส่วนออกมาแล้ว เช่น บริเวณแยกเฉลิมเผ่า ที่ฉายเลเซอร์ไปที่เสารถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นต้น
ทั้งนี้ข้อความที่คณะก้าวหน้าได้ระบุในคลิปจะมีความเคลื่อนไหวผ่านเพจช่วง 12-20 พ.ค.นี้ผ่านเพจ โดยเล่าถึงเหตุการณ์ ถีบลงเขา เผาลงถังแดง สมัยการปราบปรามคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 เหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และ การสลายการชุมนุม นปช. ช่วง พ.ค.2553 เหตุการณ์เหล่านี้หากรอยเรียงก็จะพบว่าเกี่ยวข้องกับ ‘กองทัพ’ ทั้งหมด จึงทำให้กระทรวงกลาโหมเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการฉายเลเซอร์ขึ้นมา ทำให้เจ้ากระทรวงอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ต้องออกมาโต้ถึง ‘ความเหมาะสม’ ที่มากระช่วงนี้
“เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคง ที่ต้องตรวจสอบและไปพิจารณาว่ามีความผิดอะไรหรือไม่ในการกระทำการเช่นนั้น ในช่วงเวลานี้ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมในการนำหลายๆ เรื่องมาพัวพันในวันนี้รวมถึงพัวพันเรื่องการแก้ปัญหาโควิด-19ที่รัฐบาลกำลังแก้อย่างเร่งด่วน เพราะมีประชาชนเดือดร้อน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามหากย้อนเหตุการณ์กลับไป 10 ปีที่แล้ว ผู้นำทางการเมืองโดยเฉพาะ ‘3ป.บูรพาพยัคฆ์’ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 รวมทั้งผู้นำกองทัพอย่าง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ด้วย ที่ทั้งหมดอยู่ในบัญชี ‘แบล็คลิสต์’ ของคนเสื้อแดง ซึ่งในขณะนั้น ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น รมว.กลาโหม ในฐานะ รองผู้อำนวยการ ศอฉ. ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ‘บิ๊กป๊อก’พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ. ในฐานะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอฉ. ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ขณะนั้นเป็น รองผบ.ทบ. ที่กำลังจะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
สำหรับ พล.อ.อภิรัชต์ ขณะนั้นเป็น ผู้การ ร.11 รอ. ที่มีปฏิบัติการที่ทำให้เป็นที่รู้จักคือการยึดคืนสถานีดาวเทียมไทยคม จ.ปทุมธานี แต่ชื่อที่คณะก้าวหน้าโฟกัสอีกคือ ‘บิ๊กหนุ่ย’พล.อ.ดาวน์พงษ์ รัตนสุวรรณ ที่ขณะนั้นเป็น รองเสธ.ทบ. และ ‘บิ๊กโชย’พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ที่ขณะนั้นเป็น ผบ.พล.1 รอ. ด้วย ซึ่งคณะก้าวหน้านำเสนอประเด็นต่อมาคือ “วันนั้นถึงวันนี้ ยังไม่มีใครต้องรับโทษ แถมยังได้ดิบได้ดีต่างกันไป”
ทั้งหมดนี้ฉายภาพชัดทางการเมืองว่า ‘คณะก้าวหน้า’ เคลื่อนไหวในสิ่งใด หลังทั้ง ‘สามสหาย’ หลุดวงโคจรการเป็น ส.ส. ในสภาและถูกตัดสิทธิเข้ามาสู่ระบบการเมือง 10 ปี
ดังนั้น ‘การเล่นนอกสนาม’ ที่มีกติกาน้อยกว่า จึงทำให้มีอิสระมากกว่า ถือเป็น ‘ต้นทุน’ ที่ต้องแลกมากับการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทว่าบทเรียนในอดีตก็เป็นสิ่งที่ทั้ง ‘สามสหาย’ รู้ดีอยู่แล้วว่า ‘เล่นกับไฟ’ จะเป็นอย่างไร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง