ศูนย์สังเกตการณ์ภูเขาไฟ (HVO) หน่วยงานในสังกัดสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ (USGS) เผยรายงานสถานการณ์ภูเขาไฟ 'คิลาเว' ที่ปะทุพ่นควันเมื่อวันที่ 3 พ.ค. และพ่นลาวาร้อนออกจากปากปล่องในวันที่ 7 พ.ค. แต่ HVO ระบุว่า ลาวาอาจเปลี่ยนเส้นทาง หรือมีแน���ลาวาสายใหม่เกิดขึ้น จึงมีคำเตือนให้ประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับภูเขาไฟเฝ้าระวังคำประกาศจากรัฐบาลท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด
รายงานของ HVO ที่เผยแพร่ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ระบุว่าเกิดแผ่นดินไหวรอบใหม่ช่วงค่ำวันที่ 13 พ.ค. และภูเขาไฟคิลาเวยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ทั้งยังมีแนวโน้มว่าลาวาที่ไหลจากปากปล่องอาจเปลี่ยนทิศทาง ทำให้เกิดแนวลาวาแนวใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับถนนหนทางและสิ่งปลูกสร้างบนถนนฮิลาโน ทางตะวันออกของเมืองฮิโลในรัฐฮาวาย ที่ตั้งของภูเขาไฟคิลาเว และเป็นพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติครั้งนี้มากที่สุด
เว็บไซต์ยูเอสเอทูเดย์รายงานว่า นับตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ประชาชนราว 2,000 คนถูกอพยพออกจากพื้นที่ใกล้เคียงภูเขาไฟคิลาเว หลังจากนั้นเกิดลาวาไหลจากปากปล่องเข้าท่วมถนนและสิ่งปลูกสร้างในเขตเมือง รวมถึงทำให้เกิดไฟไหม้ป่าหลายจุด ทำให้อาคารบ้านเรือนถูกทำลายไปแล้ว 36 หลัง และเถ้าภูเขาไฟทำให้เกิดก๊าซที่ส่งผลต่อระบบหายใจและเป็นภัยต่อสุขภาพ
(เจ้าหน้าที่ทหารของสหรัฐฯ เข้าสำรวจพื้นที่ได้รับผลกระทบจากลาวาไหลในเมืองฮิโลของรัฐฮาวาย)
สำนักงาน USGS เตือนด้วยว่าภูเขาไฟคีลูเอียอาจจะปะทุพ่นควันรอบใหม่ในเร็วๆ นี้ และอาจพ่นก้อนหินขนาดใหญ่เท่ารถยนต์ออกมา ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นรัฐฮาวายสั่งห้ามประชาชนในละแวกใกล้เคียงภูเขาไฟกลับที่พักจนกว่าจะครบ 10 วัน หรือรอให้ทางการประกาศยืนยันความปลอดภัยเสียก่อน
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์เดอะนิวยอร์กไทม์รายงานว่า ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับยังมีอยู่อีก 169 ลูกทั่วสหรัฐฯ แต่ภูเขาไฟที่มีแนวโน้มว่าจะปะทุครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีต่อจากนี้มีอยู่ประมาณ 50 ลูก รวมถึงภูเขาไฟคิลาเว ซึ่งเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้วมีการประเมินไว้ว่าน่าจะปะทุพ่นควันรอบใหม่ ส่วนภูเขาไฟอีกลูก คือ เมานาลัวในรัฐฮาวายเช่นกัน เพิ่งปะทุพ่นควันล่าสุดเมื่อปี 2558 และคาดว่าในอนาคตอันใกล้อาจะปะทุขึ้นใหม่
ส่วนรัฐอื่นๆ ที่มีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ได้แก่ รัฐอลาสกา, ไวโอมิ่ง, บริเวณเทือกเขาร็อกกีและชายฝั่งทะเลแปซิฟิก
(ภูเขาไฟคิลาเวปะทุพ่นควันเถ้าออกมารอบใหม่เมื่อ 7 พ.ค. หลังจากปะทุครั้งแรกเมื่อ 3 พ.ค.)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: