ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ โดยตั้งกรรมาธิการเต็มสภาและเห็นชอบ 3 วาระรวดภายในเวลา 2 ชั่วโมงด้วยมติ 217 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง
โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงสาระสำคัญของกฎหมาย คือ ปัจจุบันมีการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ กรรมการในมหาเถระสมาคมมีวัสสายุกาล หรืออายุมาก และบางรูปอาพาธ ไม่สามารถมาร่วมประชุมได้ตลอด อีกทั้งบางรูปยังมีคดีความทำให้ประชาชนไม่มีความเลื่อมใส และเนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และอัครศาสนูปถัมภก ตามมาตรา 7 ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ดังนั้นเพื่อให้มีการสนับสนุนดูแลพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนต่อพระพุทธศาสนา ทางคณะรัฐมนตรีจึงต้องการแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามโบราณราชประเพณี คือ ให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สถาปนา ถอดถอน สมณศักดิ์ของกรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์อื่นๆ
และยกเลิกการดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม โดยตำแหน่งพระราชาคณะ โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ตามบทบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา 5, 7, 10, 12, 14, 15, 20 คณะรัฐมนตรีได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 7 วัน
ขณะที่สมาชิก สนช. อภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ เช่น พล.ร.อ. ศักดิ์สิทธิ์ เชิดบุญเมือง ที่เห็นว่า ปัจจุบันเกิดคณะสงฆ์มีความเสื่อมเสียมาก ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติตนของพระสงฆ์ การบิดเบือนหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา และพระภิกษุสงฆ์บางรูปหาผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิรูปการปกครองของคณะสงฆ์ในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า กรณีที่มีผู้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์จะเป็นการเพิ่มพระราชภาระของพระมหากษัตริย์โดยไม่สมควรนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า บทบัญญัติที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ รวมถึงการแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.)นั้น เป็นพระราชอำนาจมาแต่โบราณกาลตามโบราณราชประเพณี ซึ่งรัฐธรรมนูญตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็ได้บัญญัติรับรองไว้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก กรณีดังกล่าวจึงเป็นพระราชอำนาจที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ มิใช่พระราชภาระที่กำหนดขึ้นเพิ่มแต่ประการใด ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงได้แก้ไขถ้อยคำให้เหมาะสมยิ่งขั้น เพื่อให้เป็นไปตามความมุ่งหมายดังกล่าว
สำหรับความคิดเห็นของพระภิกษุและประชาชนทั่วไปให้ความเห็นว่า ไม่ควรให้นักการเมืองมีอำนาจในการแต่งตั้ง มส.เนื่องจากนักการเมืองอาจใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเช่นเดียวกับกฎหมายทั่วไปที่ได้กำหนดให้มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน
ทางด้านกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน นำโดย ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ ยื่นหนังสือคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ ต่อ สนช. เนื่องจากจะมีผลให้เซ็ตซีโร่คณะสงฆ์ไทย ตัดตอนความสัมพันธ์ในหมู่สงฆ์ เปิดโอกาสให้ผู้ที่ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ คัดเลือกพระสงฆ์ที่ตนควบคุมได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง และการออกกฎหมายจะยิ่งทำให้เกิดการแบ่งส่วนราชการในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้ง การบริหาร การเงิน การบัญชี จนเป็นที่มาของวิกฤติพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่ผ่านการพิจารณาของ สนช. จะถูกนำขึ้นทูลเกล้า และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป