ไม่พบผลการค้นหา
ตลาดอสังหาฯ ปีนี้เริ่มฟื้นตัว คาดยอดโอนขยายตัวร้อยละ 7 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แต่ในต่างจังหวัดยังไม่ต้องลุ้น

นายวิธาน เจริญผล ผู้อำนวยการอาวุโสคลัสเตอร์ธุรกิจบริการ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากชะลอตัวในช่วงหลังมาตรการกระตุ้นของภาครัฐได้หมดลง อีไอซีประเมินมูลค่ายอดโอนจะฟื้นตัวราวร้อยละ 7 ในปี 2561 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ขนาดครอบครัวที่เล็กลง และความต้องการในทำเลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น 

นอกจากนี้ ภาวะตลาดปัจจุบันที่เป็นตลาดของผู้ซื้อจะกลายเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นในการพัฒนาโครงการต่อๆ ไป ผู้ประกอบการจึงต้องระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น สร้างความแตกต่าง และเข้าใจผู้บริโภคให้ลึกขึ้น อีไอซี พบว่า 3 กลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันคือ 1) ออกแบบโดยให้ความสำคัญต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น 2) จับมือพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาสินค้า ถ่ายทอดความรู้ เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ และสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ และ 3) พัฒนาแพลตฟอร์มบริการหลังการขายใหม่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและต่อยอดนำ Big data มาพัฒนาสินค้าและบริการ

อีไอซี พบว่า ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุ รวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีล้วนมีอิทธิพลต่อการพัฒนาและการขายโครงการที่อยู่อาศัยในอนาคต ในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียม ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง รวมทั้งอยากอยู่ใกล้แหล่งชุมชน ใกล้แหล่งร้านอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มเติมจากแค่ใกล้รถไฟฟ้า 

นอกจากนี้ บทบาทของเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฮมมีแนวโน้มจะกลายเป็น new normal (บรรทัดฐานใหม่) ในอนาคต โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและการจัดการพลังงาน

อีกทั้ง ผู้บริโภคจะเปรียบเทียบและหาข้อมูลผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งข้อมูลการเข้าใช้บริการเหล่านี้จะกลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่จะช่วยให้ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เข้าใจผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่อยากได้ที่อยู่อาศัยแนวราบโดยเฉพาะบ้านเดี่ยว แต่คอนโดมิเนียมจะยังคงเป็นตลาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังเข้าสู่วัยทำงานที่คอนโดมิเนียมเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่ารูปแบบอื่นด้วยเรื่องทำเลและกำลังซื้อ 

ขณะที่กลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ (Gen X) และเบบี้บูมเมอร์ต้องการคอนโดมิเนียมเพื่อตอบโจทย์เฉพาะ เช่น ภาระการดูแลที่อยู่อาศัยที่น้อยกว่า ซื้อเพื่อลงทุน หรือซื้อให้บุตรหลาน อย่างไรก็ดี มุมมองจากผลสำรวจพบว่าหากไม่มีข้อจำกัดในเรื่องต่างๆ ผู้บริโภคส่วนใหญ่อยากได้ที่อยู่อาศัยแนวราบมากกว่า โดยร้อยละ 87 ของผู้ตอบแบบสำรวจสนใจซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบโดยเฉพาะบ้านเดี่ยว

การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยต้องเน้นตอบโจทย์มากกว่าแค่การอยู่อาศัยเพื่อสอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรวมถึงการให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง และทำเลใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก ผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญกับความสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิต และยอมรับการแชร์ในสังคมมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่และฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นที่ส่วนกลางในโครงการมีผลต่อการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงควรออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การมี co-working space และ co-recreation ในที่อยู่อาศัย ตลอดจนพื้นที่ที่จะสามารถรองรับการแชร์ในด้านอื่นๆ ต่อไปในอนาคต เช่น พื้นที่จอดรถยนต์ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน เป็นต้น 

นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่ทำเลที่เดินทางสะดวกหรือใกล้ที่ทำงานเท่านั้น แต่ทำเลใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า ร้านอาหาร ศูนย์บริการสุขภาพซึ่งส่งผลให้โครงการมิกซ์ยูสมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น

เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาททั้งในส่วนของ smart home และ prop tech (เทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์) โดยในส่วนของ smart home แม้ว่ายังไม่แพร่หลายนัก แต่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจมากขึ้น จากผลสำรวจพบว่าร้อยละ 90 ของกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี เห็นว่าอุปกรณ์ smart home มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะระบบเตือนภัยและระบบจัดการพลังงาน 

อีกทั้ง ช่องทางดิจิทัลจะมีบทบาทในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีการเปรียบเทียบข้อมูลมากขึ้น โดยกว่าร้อยละ 50 ของผู้ตอบแบบสำรวจสนใจเข้าชมโครงการหลังได้รับข้อมูลรีวิวออนไลน์ ผู้ประกอบการจึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม prop tech ใหม่ๆ อาทิ การนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบโครงการได้ง่ายขึ้น รวมถึงการนำเสนอบริการหลังการขายรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการนำ prop tech มาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการโครงการ

การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเร่งสร้างความแตกต่างโดย 3 กลยุทธ์สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ 1) ออกแบบโดยให้ความสำคัญต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เช่น universal design ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม 2) จับมือพันธกิจทางธุรกิจเพื่อพัฒนาสินค้า ถ่ายทอดความรู้ เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ และสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ เช่น จับมือกับสตาร์ทอัพเพื่อนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการอยู่อาศัย และ 3) พัฒนาแพลตฟอร์มบริการหลังการขายใหม่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและต่อยอดนำ Big data มาพัฒนาสินค้าและบริการ เช่น พัฒนาแพลตฟอร์มกลางเพื่อรวบรวมบริการหลังการขาย หรือการใช้ประโยชน์จาก Big data ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคหรือปัญหาที่พบจากการให้บริการบริการหลังการขายต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคมีความต้องการในอนาคต

ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ปีนี้ยอดเปิดตัวใหม่ของบ้านแนวราบมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น ด้านหนึ่งก็มาแย่งส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการรายย่อย

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายใหญ่ก็เปิดตัวคอนโดมิเนียมมากขึ้นเช่นกัน โดยปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10-20 แม้ยอดขายไม่ได้ดีเหมือนเดิม แต่ปีนี้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดูจากยอดจดทะเบียนมีเพิ่มขึ้นร้อยละ 60-70 เป็นผลจากตัวเลขสะสมมาจากการขายเมื่อ 3-4 ปีก่อนหน้า และเพิ่งมาโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ 

พร้อมกับคาดว่า ปีนี้ตลาดอสังหาฯ น่าจะขยายตัวร้อยละ 10 ในกรุงเทพและชานเมืองบ้านหรือทาวเฮาส์ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ได้หายไปจากตลาด และถูกแทนที่ด้วยคอนโดมิเนียมแล้ว ส่วนในระดับภูมิภาคสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ดีมากนัก แม้จีดีพีจะโต แต่มันก็ไม่ถูกกระจายตัว ซึ่งคนต่างจังหวัดยังไม่สัมผัส และที่ต้องยอมรับว่า ที่บอกจีดีพีโตก็โตจากการท่องเที่ยวส่งออก ซึ่งก็มีเพียง 10 จังหวัดท่องเที่ยวเท่านั้นที่ได้ประโยชน์