ไม่พบผลการค้นหา
ช่วงปี 2017 ที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทในวงการเทคโนโลยีอย่างมาก และปี 2018 ก็น่าจะยังคงมีการพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง แต่มีการทำนายไว้ว่าปีหน้า ทิศทางของเทคโนโลยี AI จะชัดเจนขึ้น

นิตยสาร Forbes มองว่า ในปี 2018 ความหวาดกลัวว่า AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ก็จะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจาก AI จะเพิ่มขึ้นมาก สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกเทคโนโลยีได้อย่างโดดเด่น ขณะเดียวกัน ก็จะมี AI ที่คล้ายๆ กันออกมามากมาย แต่นั่นก็จะทำให้เราเห็นภาพใหญ่ของเทคโนโลยีนี้ได้ชัดเจนขึ้น และระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ด้วยตัวเองจะแสดงผลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วย โดย Forbes มองว่า AI จะเปลี่ยนไปใน 5 ทิศทาง

1. จะเริ่มมีการใช้งาน AI อย่างจริงจังมากขึ้น

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา AI เป็นเพียงกระแสวูบวาบฉาบฉวยที่คนพูดถึงมาก และช่วงของการทดลอง AI ใหม่ๆ ได้ผ่านไปแล้ว ดังนั้น ปี 2018 น่าจะมีการนำ AI ที่ประสบความสำเร็จมาพัฒนาให้ใช้งานได้จริงในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะระบบเรียนรู้ด้วยตัวเองและเทคโนโลยีโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับประมวลผลสารสนเทศ รวมถึงขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น

2. เม็ดเงินลงทุนในธุรกิจ AI จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ช่วงปี 2017 ธุรกิจ AI ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดและนวัตกรรม ทำให้ธุรกิจต่างๆ พยายามนำระบบ AI เข้าไปใช้มากขึ้น ตั้งแต่รถยนต์และเรือไร้คนขับ ไปจนถึงเทคโนโลยีการแพทย์ ตลาดที่กำลังเติบโตนี้ ทำให้นักลงทุนทั้งหลายเห็นโอกาสทำเงินมหาศาลจาก AI แต่การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ยังมีความเสี่ยงสูงมาก จึงเป็นที่มาของคำทำนายที่ 3 ของ Forbes


3. โครงการ AI ส่วนใหญ่จะล้มเหลว ทำให้นักลงทุนต้องสูญเงินจำนวนมหาศาล

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจหันมาลงทุนใน AI มากขึ้นก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะตกขบวน จนทำให้สินค้าและธุรกิจของตัวเองล้าสมัย เพราะทัศนคติต่อ AI ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ธุรกิจเริ่มมั่นใจว่า AI จะเป็นแนวทางใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหา แต่ธุรกิจเกี่ยวกับ AI มีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของเทคโนโลยี รวมถึงกลัวเรื่องความปลอดภัย รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องการจัดการ การซื้อตัวบุคลากร ปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจที่อาจกระทบต่อการพัฒนา AI ไปจนถึงเรื่องการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำ ให้โครงการ AI ล้มเหลวก็คือ การไม่มีเป้าหมายหรือความคาดหวังที่ชัดเจน เพราะ AI ต้องใช้เงินทุนสูงมาก อีกทั้งเป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ไม่มีเทมเพลตที่จะนำไปใช้ได้กับ AI ทุกประเภท จะต้องมีการออกแบบอย่างดี หากโครงการไหนไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนก็อาจจะเสียเงินไปเปล่าๆ

4. วิธีการตอบโต้ระหว่างมนุษย์กับระบบ AI จะยังคงมุ่งไปที่การใช้คำสั่งเสียง

ระบบ AI จะพัฒนาออกมาด้วยอินเทอร์เฟซแบบบทสนทนามากขึ้น เช่นเดียวกันการใช้งาน Echo ของแอมะซอนที่ให้เราพูดคุยและออกคำสั่งกับ Alexa ระบบ AI ที่คอยควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้าน

มีการสำรวจว่า ร้อยละ 20 ของบริษัทที่ผลิต AI จะใช้อินเทอร์เฟซแบบบทสนทนามากขึ้นกว่าการคลิกคำสั่ง เพราะการพูดคุยเป็นวิธีสื่อสารที่สะดวกสำหรับมนุษย์ เพราะไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ระบบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาว่า อะไรอยู่ตรงไหน ในขณะที่คอมพิวเตอร์ก็สามารถประมวลผลคำสั่งเสียงของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำขึ้น


5. AI จะเข้ามาดูแลเรื่องสุขภาพและสวัสดิภาพชีวิตของเรามากขึ้น

Forbes คาดว่า AI จะถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์มากขึ้น เช่น ระบบอัลกอริธึมวิเคราะห์รูปภาพที่จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์สิ่งผิดปกติในร่าง กายและความเสี่ยงในการเกิดโรค หรือแม้แต่กระทั่งอ่านลายมือของแพทย์ได้ ขณะเดียวกัน หุ่นยนต์อาจเข้าไปเป็นผู้ช่วยคนพิการหรือผู้ป่วยที่อยู่บ้าน ส่วนหุ่นยนต์ที่เป็นเพื่อนเล่นของมนุษย์ก็น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น เรื่อยๆ เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม:

'AI ไม่ใช่พระเจ้า' นักฟิสิกส์-ซีอีโอต้านแนวคิดบูชาปัญญาประดิษฐ์

ผู้เชี่ยวชาญเตือน อย่าพัฒนาAIคุมอาวุธสงคราม 

วิจัยชี้ในปี 2020 สมาร์ตโฟนกว่า 35% มาพร้อม AI