ไม่พบผลการค้นหา
เปิดคำแถลง 40 ส.ส. ตั้ง7ประเด็น ยื่น ป.ป.ช. คัดค้านตั้งอนุกรรมมการไต่สวนกรณีเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเมื่อปี 2556 ชี้ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจ

คณะ 40 ส.ส. ร่วมกันยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะอนุกรรมการไต่สวนให้ยุติการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณี นายวรชัย เหมะ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 40 คน เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองฯ เมื่อปี พ.ศ.2556 โดยมี นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ฯ โดยเนื้อหาในหนังสือมีเหตุผลที่สรุปได้ดังนี้ 

ประเด็นที่ 1 การเสนอร่างพระราชบัญญัติ เป็นกระบวนการใช้สิทธิของฝ่ายนิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญที่ได้รับการคุ้มครองเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ได้กำหนดเกี่ยวกับกระบวนการตราพระราชบัญญัติ โดยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบคนมีอำนาจเสนอร่างพระราชบัญญัติได้ตามมาตรา 142 ซึ่งในขณะนั้นได้มีการตราข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2551 ขึ้นใช้บังคับเป็นการเฉพาะ มีหลักเกณฑ์มีขั้นตอนกำหนดไว้ชัดเจน

ตั้งแต่การเสนอญัตติที่เป็นร่างพระราชบัญญัติ การอภิปราย การลงมติ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการการลงมติทั้งวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ วาระที่ 2 ขั้นการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการ และวาระที่ 3 ขั้นลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ดังนั้น การเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อเนื่องไปจนถึงการลงมติ

วาระที่ 3 จึงเป็นกระบวนการเดียวกัน ของการตรากฎหมายโดยสภาผู้แทนราษฎร ดังที่มาตรา 130 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้บัญญัติรับรองเอกสิทธ์ิไว้ว่า ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่วุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดในทางแถลงข้อเท็จจริงแสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นทางใดมิได้

ดังนั้น คณะ 40 ส.ส. จึงได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองอย่างเด็ดขาด คณะอนุกรรมการ ไต่สวนจะนำการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปเป็นเหตุฟ้องหรือว่ากล่าว เช่น ตั้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหาในทางใดมิได้เป็นอันขาด

ประเด็นที่ 2 การเสนอร่างพระราชบัญญัติเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญและเป็นกระบวนการหนึ่งในการตรากฎหมายโดยที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มีการแบ่งแยกองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยในทางนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ออกจากกัน ภายใต้กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติไว้ โดยอำนาจนิติบัญญัติใช้โดยรัฐสภา ซึ่งการเสนอร่างพระราชบัญญัติเป็นกระบวนการหนึ่งในขั้นตอนของการตรากฎหมายส่วนร่างพระราชบัญญัติฉบับใดจะได้รับการบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็เป็นอำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรที่จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ วิธีการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2551 ซึ่งใช้บังคับอยู่ใน

ขณะนั้น การดำเนินการต่อไปในขั้นตอนที่ ว่าสภาผู้แทนราษฎรจะให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวในวาระที่หนึ่ง วาระที่สอง วาระที่สาม หรือไม่ ก็ถือเป็นอำนาจอิสระของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์วิธีการและขั้นตอนตามที่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรบัญญัติไว้

และเมื่อร่างพระราชบัญญัติผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็ต้องส่งให้วุฒิสภาได้พิจารณาก่อน หากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบแล้วจึงจะนำไปสู่ขั้นตอนการนำร่างพระราชบัญญัติเสนอขั้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเป็นเรื่องที่อยู่ในวงงานของรัฐสภาโดยเฉพาะ นอกเหนือจากนี้แล้วไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายให้อำนาจองค์กรใดเข้ามาตรวจสอบได้ โดยเฉพาะคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ประเด็นที่ 3 การตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเป็นหลักการทำงานกฎหมายปกติที่ผ่านมา มีการตรากฎหมายเช่นนี้ ถึง 23 ฉบับ

การนิรโทษกรรมนั้นเป็นหลักการทางกฎหมายที่ได้รับการยอมรับเป็นสากลว่าเป็นไปเพื่อลบล้างความผิดให้กับบุคคลซึ่งต้องกระทำโดยองค์กรที่มีอานาจในการตรากฎหมาย โดยกฎหมาย ให้ถือว่าการกระทานั้น ไม่เป็นความผิดอีกต่อไป หากผู้กระทำความผิดได้รับโทษมาแล้วก็ให้ถือว่า ผู้นั้นไม่เคยกระทำความผิด และไม่เคยได้รับโทษมาก่อน หากรับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นยุติลง อันมีผลเป็นการยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษให้กับบุคคล เจตนารมณ์ของกฎหมายนิรโทษกรรม ก็เพื่อต้องการให้ประชาชนลืมการกระทำนั้นเสีย

ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแล้ว จำนวน 23 ฉบับ ซึ่งเนื้อหาของการก่อกบฏและรัฐประหารมีโทษถึงประหารชีวิต ก็มีการนิรโทษกรรมมาแล้ว ทั้งในรูปแบบพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด รวมถึงการนิรโทษกรรมไว้ในบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญ

อนึ่ง การเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ฉบับดังกล่าว หาได้เป็นการขัดหรือแย้ง ต่ออนุสัญญาและกติการะหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตหรือคอรัปชั่นไม่ว่าฉบับหนึ่งฉบับใด เพราะเป็นการตรากฎหมายภายในขึ้นบังคับใช้ มิใช่เรื่องการปฏิบัติระหว่างรัฐต่อรัฐ และโดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้มีบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อกติกาสากลระหว่างประเทศดังกล่าว ซึ่งรวมถึงพระราชบัญญัติอีก23 ฉบับ ที่ได้เคยประกาศใช้ด้วย

ประเด็นที่ 4 ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มีเนื้อหาเป็นการไปเอื้อประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นการเฉพาะและการทำหน้าที่ดังกล่าวไม่ถือเป็นการบิดผันการใช้อำนาจ

สำหรับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับดังกล่าวนี้ มีหลักการและสาระสำคัญเป็นไปทานองเดียวกับพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่เคยประกาศใช้มาแล้ว ส่วนกรณีใดจะเข้าเงื่อนไข ที่จะได้รับประโยชน์หากร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้วย่อมเป็นดุลพินิจของศาลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องที่จะพิจารณาไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการไต่สวน หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะคิดและวินิจฉัยได้เอง

สำหรับข้อกังวลว่าร่างกฎหมายนี้จะมีผลต่อคดีของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ในคดีที่ถูกศาลฎีกามีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินกว่า 46,000 ล้านบาท นั้น จะเห็นว่า ตามร่างมาตรา 5 ก็บัญญัติชัดเจนว่าผลของการนิรโทษกรรม ไม่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องใดๆ แก่ผู้ได้รับนิรโทษในอันที่จะเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น และคดีดังกล่าว เป็นคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญาที่อยู่ในขอบเขตของร่างพระราชบัญญัตินี้

ประเด็นที่ 5 มีการเ��นอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในคราวเดียวกันนี้ถึง 6 ฉบับ

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวนั้นสถานการณ์ของประเทศอยู่ในภาวะที่เกิดความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงในสังคม ซึ่งรัฐบาล ที่เข้ามาบริหารประเทศต้องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ จึงได้ประกาศ เป็นนโยบายของรัฐบาลและได้แถลงต่อรัฐสภา

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม รวมถึงร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปรองดองซึ่งมีเนื้อหาเป็นการนิรโทษกรรมเช่นกัน จำนวนหลายฉบับต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรวมได้ในขณะนั้นเป็น จำนวน 10 ฉบับ แต่ขณะนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุระเบียบวาระ เข้าพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 6 ฉบับ

ซึ่งร่างพระราชบัญญัติทั้งหมด มีเนื้อหาเป็นการนิรโทษกรรมให้กับเหตุการณ์ชุมนุมและความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งทุกฉบับล้วนมีเจตนาที่ต้องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นของคนในชาติ ลืมความขัดแย้งและอดีตที่ขมขื่นและให้อภัยต่อกัน เพียงแต่มีสาระสำคัญที่แตกต่างกันในรายละเอียดบางประการเท่านั้น


ประเด็นที่ 6 ร่างพระราชบัญญัตินี้ในที่สุด ไม่ถูกตราขึ้นเป็นกฎหมาย จึงไม่มีผลบังคับใช้

ตามข้อเท็จจริงเมื่อร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ได้นำเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ปรากฏว่าร่างพระราชบัญญัติได้ถูกยับยั้งไว้ และต่อมามีพระราชกฤษฎีกายุบสภา ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวจึงตกไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของกระบวนการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันอย่างรอบคอบและเป็นขั้นเป็นตอน จึงอาจกล่าวได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามิได้กระทำความผิดใดๆ จากการร่วมกันลงชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ซึ่งได้ตกไป ในที่สุด ไม่อาจกล่าวได้ว่าเกิดความเสียหายใดๆ ขึ้นจากการเสนอร่างพระราชบัญญัติ อีกทั้ง โดยหลักการก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการพยายามกระทำความผิด เพราะการเสนอร่างพระราชบัญญัติ หาใช่การลงมือกระทำความผิดและเป็นการใกล้ชิดกับความผิดสำเร็จแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 7 กรณีเทียบเคียงกับกรณีประธานกรรมการ ป.ป.ช. และประธานอนุกรรมการ ไต่สวนได้ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ....

จะเห็นได้ว่าการเสนอร่างพระราชบัญญัติของคณะ 40 ส.ส. และการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของกรรมาธิการ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นลักษณะเดียวกับการเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั่วไป โดยขอยก กรณีเทียบเคียงกับการที่ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. (พลตารวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ) และประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน (นางสาวสุภา ปิยะจิตติ) เข้าไปร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.... ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีการเสนอแก้ไขจากหลักการของร่างเดิมหลายประการ

อาทิเช่น การให้กรรมการ ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ตามรัฐธรรมนูญยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้จนครบวาระการเพิ่มอานาจให้กรรมการ ป.ป.ช. ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารการดักฟังสื่ออิเลคโทรนิคส์ต่างๆ ได้นั้น ล้วนเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์ทับซ้อนของบุคคลทั้งสองและบุคคลทั้งสองได้ประโยชน์โดยตรงเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ควรกระทำ

หากจะถือว่าเป็นการกระทำในฐานะการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อเท็จจริงดังกล่าว ถือว่าเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ซึ่งมีความชัดเจนและความร้ายแรงเสียยิ่งกว่ากรณีของคณะ 40 ส.ส. ซึ่งไม่มีข้อเท็จจริงใดสนับสนุนว่ามีการกระทำความผิดเลย

ดังจะเห็นได้จากพฤติการณ์ข้อเท็จจริงที่ประธานอนุกรรมการไต่สวนในคดีนี้ แม้ขณะพิจารณามาตราดังกล่าวจะไม่ได้เข้าประชุม แต่ก็ได้สมยอมหรือมีพฤติการณ์ร่วมกันกับ สนช. ด้วยการให้เหตุผลต่างๆ ในที่ประชุม สนช. เพื่อให้ต่ออายุการทำหน้าที่ของตนและกรรมการ ป.ป.ช ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม จนในที่สุด สนช. ได้มีมติต่ออายุการทำหน้าที่ของประธานอนุกรรมการไต่สวนและกรรมการ ป.ป.ช. อีกหลายคนอันอยู่ในประการที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน และเป็นการบิดผันการใช้อำนาจอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริงและคณะอนุกรรมการไต่สวนดำเนินการไต่สวนอยู่นั้น มิใช่เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะไต่สวนได้ แต่เป็นการก้าวล่วงการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติโดยรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภา การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขัดต่อกฎหมายและหลักนิติธรรม ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3 วรรคสอง คณะ 40 ส.ส. จึงได้เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยุติการไต่สวนเสียทันที