นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ชี้ว่า หลังจากที่ความตกลงการค้าเสรีระหว่างอาเซียน-จีน (ACFTA) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 และทั้งสองประเทศได้ทยอยลดภาษีศุลกากรระหว่างกันมาตามลำดับจนครบสินค้าล็อตสุดท้ายที่ต้องมีการลดภาษีระหว่างกันเหลือร้อยละ 0-5 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 พบว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 (เดือนมกราคมถึงมิถุนายน) อยู่ที่ 39,395.6 ล้าน��หรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ไทยส่งออกไปจีน 14,935 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากจีน 24,460.6 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกรณีส่งออกเป็นการใช้สิทธิภายใต้เขตการค้าเสรี อาเซียน - จีน 8,610.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 57.7 ของมูลค่าการส่งออกรวม ขณะที่กรณีนำเข้าเป็นการใช้สิทธิเขตการค้าเสรี อาเซียน-จีน 6,321.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 25.8 ของมูลค่าการนำเข้ารวม
หากประเมินสถิติการนำเข้า-ส่งออก ระหว่างไทยกับจีนในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 เฉพาะในส่วนสินค้าล๊อตสุดท้ายที่มีการลดภาษีศุลกากรระหว่างกันเหลือร้อยละ 0-5 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 จะพบว่าไทยสามารถส่งออกสินค้าไปจีนได้เป็นมูลค่ารวม 577.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 19.9 โดยสินค้าที่ได้ประโยชน์ เช่น กระปุกเกียร์สำหรับ ยานยนต์ ปลายข้าว กระดาษพิมพ์ แผ่นชิ้นไม้อัด เคมีภัณฑ์ แป้งข้าวเจ้า เป็นต้น
ไทยนำเข้าสินค้ากลุ่มสุดท้ายที่ได้ลดภาษีให้จีนเหลือร้อยละ 0-5 มากขึ้นเช่นกัน เป็นมูลค่า 2,483.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เช่น วงจรอิเล็กทรอนิกส์ แผงไฟ สายเคเบิ้ล ทองแดง หม้อแปลงไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบเพื่อนำไปผลิตต่อเป็นสินค้าสำเร็จรูปทั้งใช้ในประเทศและส่งออก ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มยอดส่งออกของไทยในภาพรวม
“แม้จะเกิดวิกฤติทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แต่จากสถิติพบว่า ไทยยังคงขยายการส่งออกในภาพรวมไป จีนได้เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ส่งออกของไทยคงต้องติดตามสถานการณ์การค้าโลกที่เกิดขึ้นและวางแผนการทำธุรกิจเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยในจีนต่อไป” นางอรมน เสริม