วันที่ 7 ส.ค. 2566 เวลา 13:00 น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง นำเอกสารหลักฐานมายื่นต่อสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าพนักงานที่ดินเขตพระนคร กรณีปล่อยปละละเลยให้มีการหลีกเลี่ยงภาษีโอนซื้อขายที่ดิน โดย บมจ.แสนสิริ
พร้อมชี้แจงหลังถูกพาดพิงว่า ตนมีข้อขัดแย้งกับ เศรษฐา ว่า การที่ตนออกมาแฉมาจากการที่ซื้อขายที่ดินที่ไม่ลงตัว ซึ่ง ชูวิทย์ ยืนยันว่า ยังไม่มีการทำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดินแต่อย่างใด เนื่องจากยังติดสัญญาการซื้อขายกับบริษัท ไร มอน แลนด์ ซึ่งตกลงซื้อขายกันในราคา 1,600 ล้านบาท โดย ไร มอน แลนด์ ได้มีการมีการจ่ายมัดจำมาแล้ว 400 ล้านบาท ยังคงเหลือค้างชำระอีก 1,200 ล้านบาท ซึ่งต้องชำระภายในเดือนธันวาคมนี้ ทำให้ตนเองทำธุรกรรมหรือซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากติดสัญญาดังกล่าว
ส่วนกรณีที่ วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายของ เศรษฐา ได้ไปยื่นฟ้อง ชูวิทย์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาจากการออกมาแฉว่า เศรษฐา เลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินผืนดังกล่าวนั้น ถือเป็นการจงใจขุดหลุมพรางของตนเอง ตั้งแต่การแถลงข่าวแฉครั้งที่แล้ว เนื่องจากยังมีหลักฐานเด็ด ที่ระบุว่า การซื้อขายที่ดินดังกล่าว ไม่ได้เป็นการวางแผนภาษีแต่เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์กว่า 521 ล้านบาท มีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงนามโดยอดีตอธิบดีกรมที่ดิน 2 คนในปี 2552 และ 2556 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ที่ระบุว่าการซื้อขายที่ดินในลักษณะโฉนดแปลงเดียวไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายกันคนละฉบับ หรือเป็นการกระทำที่กระจายภาษี ซึ่งไม่สามารถทำได้ ซึ่งการซื้อขายที่ดินครั้งนี้ ผู้ซื้อคือ บมจ.แสนสิริ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการเสียภาษีโอนที่ดิน จึงตกลงกับผู้ขายในการแบ่งโอนเป็นรายย่อย 12 ราย เพื่อเลี่ยงการโอนในรูปแบบของคณะบุคคล ซึ่งจะมีการเสียภาษีที่สูงกว่า ดังนั้นจึงเห็นว่า เศรษฐา ไม่มีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นนายกฯ
ส่วนเรื่องที่ พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงข่าวว่าปมเหตุของการที่ตนออกมาแฉ มาจากตกลงซื้อขายที่ดินที่ไม่ลงตัวนั้น ชูวิทย์ ยังยืนยันว่า ที่ดินของตนเองไม่สามารถซื้อขายกับใครได้ เนื่องจากติดสัญญากับบริษัท ไร มอน แลนด์
ส่วนกรณีที่ตอนนี้มีคนกำลังพยายามโจมตีตนเรื่องที่ดิน ที่มีภาพปรากฎว่าตนมีการพูดคุยกับเศรษฐา นั้น ชูวิทย์ กล่าวว่า "คุณโจมตีผมไปเถอะ ผมของแข็ง" พร้อมชี้เเจงว่า ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 ได้มีการพูดคุยกันจริง แต่การพูดคุยในครั้งนั้น เศรษฐา ส่งคนมาเชิญตนไปพูดคุยด้วย เพื่อจะขอซื้อที่ดินของตน แต่ที่ดินผืนดังกล่าวยังติดสัญญาอยู่กับบริษัทไรมอนแลนด์ จึงไม่สามารถขายให้นายเศรษฐาได้ ซึ่งรายละเอียด เนื้อหาการพูดคุยมีเพียงเท่านี้ และในการพูดคุยกันในวันนั้น เศรษฐา ยังบอกกับตนว่าในชีวิตนี้ไม่เคยคิดที่จะเป็นนักการเมือง แต่สุดท้ายกลับยกตัวเองขึ้นมาเป็นเเคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อาศัยการขึ้นรถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์
จากนั้น ชูวิทย์ ได้โชว์หลักฐาน เป็นเเชทการสนทนากับ เศรษฐา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ซึ่ง ชูวิทย์ ได้ส่งข้อความไปว่า "ผมเห็นว่าวันก่อน คุณค่อนข้างหงุดหงิด รักษาสุขภาพดีกว่าครับ อายุก็ห่างกับผมไม่มาก มีความสุขใจดีกว่า เงินก็มีเยอะอยู่แล้ว" จากนั้นก็ส่งข้อความไปอีกประโยค ว่า "รู้จักกันนานๆ มากๆ ดีกว่าครับ อนาคตคุณยังอีกไกล"
ด้าน เศรษฐา ตอบกลับมาว่า "ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นครับ ไม่ได้หงุดหงิดเลยครับ เป็นคนใจร้อน อยากให้ถึงเป้าหมาย มีเงินน้อยกว่าคุณชูวิทย์ มีรายจ่ายเยอะกว่าครับ"
หลังจากนั้น ในเดือนธันวาคม 2565 เศรษฐาได้ส่งกระเช้ามาให้ตน ตนจึงส่งข้อความอวยพรกลับไปให้ ซึ่งจะเห็นว่าการพูดคุยและการพบเจอกันนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้มีปัญหาหรือเรื่องขุนข้องหมองใจใดๆ กัน ซึ่งตนพิพากษ์วิจารณ์ เศรษฐา ด้วยใจเป็นธรรม ในกรณีที่ เศรษฐา จะเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงแม้เศรษฐา จะฟ้องร้องตน ก็ฟ้องไป
ส่วนกรณีที่มีคนกล่าวหาว่าสิ่งที่ตนออกมาแฉนั้นเพื่อจะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือไม่ ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีปัญหากับพรรคเพื่อไทย เพราะแคนดิเดตนายกฯ ยังมีอีก 2 คน นั่นคือ แพทองธาร ชินวัตร และ ชัยเกษม นิติศิริ ดังนั้นสิ่งที่ถูกกล่าวหาจึงไม่เป็นความจริง อีกทั้งสิ่งที่ตนออกมาแฉทั้งหมดก็มีพยานหลักฐาน มีลายลักษณ์อักษร หากคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี มีเล่ห์เหลี่ยมทางการค้า ออกอุบายหลีกเลี่ยงภาษี ตนเองรับไม่ได้ได้ เพราะสิ่งที่กระทำนั้นไม่ใช่เป็นการวางแผนภาษี แต่เป็นการวางแผนโกงภาษี ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย 521 บาท ดังนั้นจึงมองว่า นายเศรษฐา ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในการเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่าในเมื่อมีหลักฐานปรากฏเช่นนี้เเล้ว เเต่เหตุใดทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทย จึงยืนยันว่าการกระทำนิติกรรมดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ชูวิทย์ ตอบว่า กฎหมายอยู่ที่ผู้ใช้ ทนายความก็มีสิทธิ์เข้าข้างลูกความของตัวเอง แต่สิ่งที่คนเราหนีไม่พ้นมีอยู่ 2 สิ่ง คือ ความตาย และภาษี
นอกจากนี้ ชูวิทย์ ยังกล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเตรียมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทยด้วยว่า สองพรรคนี้เป็นข้าวต้มมัดคู่ใหม่ ตนมองว่าที่แถลงจัดตั้งรัฐบาลวันนี้ เพราะวันก่อน ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดนคดี
“เพื่อไทย กับ ภูมิใจไทย ต้องเป็นข้าวต้มคู่ใหม่ แต่คุณพอที่ไหน เสียงมีแค่ 210 ต้นๆ หากเอาพรรคประชาธิปัตย์แตกพรรคมา ก็จะได้เสียงประมาณ 260 เสียง แล้วจะผ่านด่าน ส.ว.ได้อย่างไรเพื่อไทยจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่แข็งแกร่งได้ และผ่านด่าน ส.ว.ได้ ต้องมีพรรค 2 ลุงเท่านั้น ถ้าไม่มี 2 ลุง คุณจะผ่าน ส.ว.ได้อย่างไร และ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับบ้านได้อย่างไร” ชูวิทย์ กล่าว