นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวตำหนิกลุ่มวัยรุ่นยกพวกรุมทำร้ายหมอและพยาบาล รพ.วิภารามชัยปราการ เหตุไม่พอใจเพื่อนเสียชีวิต และอ้างว่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเห็นว่าจะไปโทษหมอไม่รักษาให้รอดชีวิตแล้วมาอ้างว่าเป็นเพราะอารมณ์ เรื่องนี้อธิบดีกรมสนับสนุนกรมบริการสุขภาพ ที่ควบคุมโรงพยาบาลอยู่จะลงไปดู แต่ย้ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะโรงพยาบาลทำผิด หรือประกอบโรคศิลปะที่ผิด แต่เป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองและตำรวจจะต้องดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด ไม่ให้คนพวกนี้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน พร้อมย้ำว่า ผู้บริหารโรงพยาบาลต้องแจ้งความดำเนินคดีเพื่อเอาผิด และอย่ายอมความ
นายอนุทิน ยังกล่าวอีกว่า โรงพยาบาลทุกแห่งมีมาตรการป้องกันรักษาความปลอดภัยบุคลากรในโรงพยาบาลอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องของจิตสำนึก ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ เพราะถ้าเอาอารมณ์มาตัดสินว่าหมอรักษาคนไข้ต้องหายทุกคน ถ้าไม่หายจะไปรุมทำร้ายหรือเอาชีวิตหมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูก คนที่เป็นเจ้าทุกข์ต้องดำเนินคดีให้เฉียบขาด ถ้าเป็นตนเองก็จะไม่ลดลาวาศอกให้แน่นอน เพราะเป็นคดีอาญายอมความไม่ได้
สบส. ห่วง รพ.เอกชน หลังวัยรุ่นยกพวกทะเลาะวิวาท
นพ.ธเรศ กรัษนัยวริวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข พร้อม ทต.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. และเจ้าหน้าที่กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ ลงพื้นที่โรงพยาบาลวิภารามชัยปราการและโรงพยาบาลเมืองสมุทรปู่เจ้า จ.สมุทรปราการ หลังมีรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุวัยรุ่นอุกอาจยกพวกรุมทำร้ายคู่อริซึ่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาล และลุกลามบานปลายทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์และทำลายทรัพย์สินของโรงพยาบาลเสียหาย
โดย นพ.ธเรศ เปิดเผยว่า จากการสอบถามเบื้องต้นพบว่า ทางโรงพยาบาลได้แจ้งความเอาผิดกับผู้ก่อเหตุแล้ว ด้านพนักงานของโรงพยาบาล จำนวน 3 คน มีอาการบาดเจ็บแต่ไม่รุนแรง
ส่วนเรื่องขวัญกำลังใจ ทางโรงพยาบาลก็ต้องดูแลกันต่อไป ซึ่งกรม สบส.ได้กำชับให้สถานพยาบาลทั้งสองแห่ง เคร่งครัดเรื่องมาตรการความปลอดภัยในโรงพยาบาลกรณีเกิดเหตุรุนแรงโรงพยาบาล/ห้องฉุกเฉิน ควรมีช่องทางในการประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ให้สามารถมาระงับเหตุได้ทันที หากมีผู้ป่วยจากการทะเลาะวิวาทเข้ามารักษา ไม่ต้องรอเกิดเรื่องก่อน ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกันญาติ หรือจัดสถานที่พักคอยสำหรับญาติ และติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม ซึ่ง รพ.ภาครัฐก็เคยมีเหตุแบบนี้มาก่อน ทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้ออกแนวทางมาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับโรงพยาบาล เพื่อให้ห้องฉุกเฉินเป็นสถานที่ในการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดความรุนแรง ที่ผ่านมาก็มีการดำเนินคดีเอาผิดกับผู้กระทำความผิดให้เป็นคดีตัวอย่างไปแล้ว
สำหรับเคสนี้ กรม สบส. ก็จะประสานพนักงานสอบสวนให้เร่งรัดดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด และจะแจ้งเวียนแนวทางมาตรการด้านความปลอดภัยให้สถานพยาบาลได้รับทราบและถือปฏิบัติกันต่อไป
ตร.เร่งตามตัวผู้ต้องหาที่เหลือ - 'จักรทิพย์' กำชับดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ด้านสำนักข่าวไทยรายงาน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงความคืบหน้า กลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันภายในโรงพยาบาล ในจังหวัดสมุทรปราการ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและทรัพย์สินของทาง รพ.ได้รับความเสียหาย นั้น
ได้รับรายงานจาก สภ.สำโรงใต้ ว่า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ได้แบ่งออกเป็น 3 คดี โดยในคดีแรก เหตุชุลมุนต่อสู้กัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดภายในซอยโรงเหล็ก มีผู้ต้องหา 13 คน (สามารถพิสูจน์ทราบตัวได้แล้ว 2 คน ได้แก่ ผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ) โดยยังอยู่ระหว่างสอบสวน ขยายผลและพิสูจน์ทราบผู้ก่อเหตุที่เกี่ยวข้องรายอื่นๆ คดีที่สอง เหตุร่วมกันบุกรุก รพ.วิภารามชัยปราการ และทำร้ายร่างกายบุคลากรทางการแพทย์ มีผู้ต้องหา 2 คน (สามารถพิสูจน์ทราบผู้ต้องหาที่ก่อเหตุทั้ง 2 คนได้แล้ว) และ คดีที่สาม เหตุร่วมกันบุกรุก รพ.เมืองสมุทรปู่เจ้าสมิงพราย, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บแก่กายและจิตใจ มีผู้ต้องหา 15 คน (สามารถพิสูจน์ทราบและควบคุมตัวได้แล้ว 11 คน โดยพนักงานสอบสวน จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป)
รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด โดยกำชับ พล.ต.ท.อำพล บัวรับพล ผบช.ภ.1 และ พล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ให้เร่งดำเนินการ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนให้ได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ ขอประณามการกระทำที่เกิดขึ้นและขอให้ทุกคนยุติความรุนแรงในสถานพยาบาล เพราะเป็นสิ่งที่ทุกๆคนและสังคมยอมรับไม่ได้ ซึ่งอาจกระทบต่อการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ที่อยู่ระหว่างการช่วยเหลือรักษาผู้ป่วยรายอื่นหรือทำให้ทรัพย์สิน อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับความเสียหาย และอาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยหรือประชาชนคนอื่น ที่เข้ามาใช้บริการภายในโรงพยาบาล โดยขอให้ตระหนักว่า สถานพยาบาลต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย สำหรับผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตความรุนแรงใดๆ ก็ตาม