ในที่สุดซีรีส์เยอรมัน Dark ก็ออนแอร์ซีซัน 3 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายไปแล้วเรียบร้อย อย่างที่ทราบกันดีว่าเนื้อหาหลักของซีรีส์ว่าด้วยการเดินทางข้ามเวลา ดังนั้นผู้สร้างจึงยึดกับคอนเซ็ปต์เรื่อง ‘เวลา’ เป็นอย่างมาก เช่นว่าซีซัน 2 นั้นออกอากาศในวันที่ 21 มิถุนายน 2019 ซึ่งเป็นวันที่ตัวละครหนึ่งฆ่าตัวตาย ส่วนซีซัน 3 ฉายเมื่อ 27 มิถุนายน 2020 อันเป็นวันสิ้นโลกตามเนื้อเรื่องของซีรีส์ นั่นแปลว่าทีมงานมีเวลาถ่ายทำและตัดต่อซีซัน 3 ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เพื่อจะได้ออกอากาศทันตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้
Dark เป็นซีรีส์ขึ้นชื่อเรื่องความยุ่งเหยิงทางเวลา เนื้อหาเล่าสลับไปมาสามยุคสมัย และกลายเป็น 5 ยุคในซีซั่นที่สอง นอกจากนั้นซีรีส์ยังเล่าความสัมพันธ์ที่ไขว้ไปมาของ 4 ครอบครัว ทำให้มีตัวละครราวยี่สิบตัวในเรื่อง และผู้สร้างยังทำให้ผู้ชมปวดหัวเข้าไปใหญ่ในซีซั่น 3 เมื่อพวกเขาเพิ่มมิติเรื่อง ‘พื้นที่’ เข้าไปด้วย เมื่อโลกใน Dark อาจจะไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว ระหว่างที่ดูผู้ชมไม่เพียงต้องตั้งสติว่าตัวละครอยู่ใน ‘ยุคใด’ แต่ต้องถามว่า ‘โลกไหน’ ด้วย
บทความนี้ไม่ได้ต้องการอธิบายให้กระจ่างถึงสิ่งที่เกิดขึ้นใน Dark เนื่องจากผู้เขียนเองก็ยังมีส่วนที่สับสนงุนงงนับไม่ถ้วน อีกทั้งมีผู้อื่นทำไว้ได้ดีกว่ามาก (ลองค้นด้วยคำว่า Dark Season 3 Explained ก็จะพบคลิปและบทความมากมาย) หากแต่ต้องการแบ่งปันข้อสังเกตบางประการต่อซีรีส์ชุดนี้
บทความต่อจากนี้เปิดเผยเนื้อหาของ Dark ซีซัน 3
หนึ่งในสิ่งที่ Dark เน้นย้ำอยู่เสมอคือเรื่องของการเป็นคู่ตรงข้าม ไม่ว่าจะ ขาวกับดำ เงามืดกับแสงสว่าง (อันเป็นชื่อกลุ่มสำคัญสองกลุ่มในซีซัน 3) ส่วนพระเอกนางเอกอย่างโยนาสกับมาร์ธาก็กลายสภาพเป็นอดัมกับเอวา (อีฟ) ซึ่งแทนที่จะเป็นคู่กัน ทั้งสองกลับต้องมาคะคานกันด้วยแนวคิดที่อยู่กันคนละขั้ว
เดิมทีนั้นอดัม (หรือโยนาสในวัยชรา) เคยมีความเชื่อว่าต้องคงชุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือรักษาลูป (Loop) เอาไว้ เพื่อจะหาวิธีปลดล็อคจากเรื่องราวทั้งหมด หากแต่ในซีซันสามอดัมเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการทำลายลูปทั้งหมดอย่างถอนรากถอนโคน ในขณะที่เอวา (มาร์ธาวัยชรา) พยายามคงลูปเอาไว้เพราะต้องการรักษาชีวิตของลูกชาย
เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ของตนเอง ทั้งอดัมและเอวาต่างล่อลวงหมากวางคนมากมาย และถึงขั้นหลอกใช้ ‘ตัวเอง’ ในอดีต (หรือตัวเองในยามที่อ่อนวัยกว่า) ทว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ เดิมทีโยนาสนั้นพยายามจะแก้ไขให้มาร์ธากลับมาชีวิตอีกครั้ง แต่ด้วยบาดแผลแห่งการเดินข้ามเวลาไปมา เขากลายเป็นอดัม ผู้ที่เชื่อว่าวิธีจะทำลายลูปได้คือการทำลาย ‘จุดเริ่มต้น’ นั่นคือการฆ่ามาร์ธากับลูกในท้องของเธอเสีย จึงเห็นได้ว่าเป้าหมายของโยนาส (หรืออดัม) ได้มาไกลต่างจากจุดตั้งต้นอย่างสิ้นเชิง
เช่นนั้นแล้วความตรงข้ามอีกประการในเรื่อง Dark คือการที่ตัวละครแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน จากผู้กอบกู้กลายเป็นผู้ทำลาย ทำได้กระทั่งฆ่าคนรักหรือฆ่ามารดาของตน เฉกเช่นที่โยนาสฆ่าฮันนาห์-แม่ของเขาเอง อีกทั้งยังน่าสนใจว่าเกิดเหตุมาตุฆาต-ปิตุฆาต-ปุตตฆาตในเรื่องอยู่บ่อยครั้ง ราวกับโศกนาฏกรรมกรีกที่เล่นซ้ำไม่รู้จบ อาทิ เคลาเดียพลั้งมือทำเอกอน (พ่อ) ตายอย่างไม่ตั้งใจ, ทรอนเทอปลิดชีพเรกีนา (ที่เขาเชื่อว่าอาจเป็นลูกสาวของเขา) เพื่อให้เธอพ้นทุกข์, คาธารีนาตายด้วยน้ำมือแม่ของตัวเอง, รวมไปถึงโนอาห์ที่ฆ่าบาร์โทสซ์ (พ่อ) ในฉากเปิดของซีซันสอง
น่าเศร้าว่าความเลวร้ายทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจแรกเริ่มที่ต้องการรักษาชีวิตหรือช่วยเหลือคนที่ตัวเองรัก หากด้วยความผิดพลาดหรือการเล่นตลกของโชคชะตา กลับนำเหล่าตัวละครไปสู่ความเจ็บปวดหรือไม่ก็ความตาย
ในขณะที่อดัมพยายามจะทำลายลูป ส่วนเอวาต้องการรักษาลูป ตัวละครสำคัญอีกตัวอย่างเคลาเดียก็ค้นพบว่าวิธี ‘คลายปม’ ทั้งหมด ไม่ใช่การแก้ไขที่โลกของอดัมหรือเอวา หากต้องแก้ที่โลกต้นกำเนิด (The origin world) กล่าวคือนักวิทยาศาสตร์นามว่าทานน์เฮาส์สูญเสียลูกชายไปจากอุบัติเหตุรถยนต์ เขาจึงสร้างไทม์แมชชีนขึ้นมาเพื่อหวังไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีต ทว่าการทดลองของเขาทำให้เกิดโลกแบ่งแยก (หรือ Alternate world/reality) ขึ้นมาอีก 2 ใบคือ โลกของอดัมกับโลกของเอวา
เช่นนั้นแล้ววิธีแก้ไขก็คือการทำให้ทานน์เฮาส์ไม่สร้างไทม์แมชชีนขึ้นมาด้วยการขัดขวางไม่ให้ลูกเขาตาย เมื่อไม่มีไทม์แมชชีน โลกอดัม/โลกเอวาก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ต้องทำภารกิจนี้ก็คือโยนาส (จากโลกของอดัม) และมาร์ธา (จากโลกของเอวา) จุดนี้เหมือนตอกย้ำสิ่งที่ซีรีส์เน้นมาตลอดว่าทั้งสองคือกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดชุดเหตุการณ์ต่างๆ
ทว่าตอนสุดท้ายของซีรีส์ก็มาสู่บทสรุปที่พลิกผันและคมคาย เมื่อโยนาสและมาร์ธาทำภารกิจสำเร็จ พวกเขาจะไม่มีตัวตนอีกต่อไป เพราะโลกของอดัม/เอวาจะไม่ถูกไทม์แมชชีนสร้างขึ้นแล้ว กลายเป็นว่า ‘การดำรงอยู่’ ของโยนาส/มาร์ธาไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด หากแต่ต้องเป็นการที่พวกเขา ‘ไม่ดำรงอยู่’ แม้โยนาสจะพูดส่งท้ายอย่างน่าซาบซึ้งว่าเขาและมาร์ธาเป็นคู่แท้กัน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถดำรงอยู่ด้วยกันได้ ต้องสูญสลายไปประหนึ่งฝุ่นผงของจักรวาลที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรอีกต่อไป
ตอนสุดท้ายของ Dark มีชื่อตอนว่า Paradise หรือสรวงสวรรค์ เราเห็นภาพเหล่าตัวละครกินดื่มฉลองกันอยู่ในโลกต้นกำเนิด ตอนที่ดูจบใหม่ๆ ผู้เขียนก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงเรียกสิ่งนี้ว่าสวรรค์ จนนึกได้ถึงฉากที่อลิซาเบ็ธบอกให้โนอาห์เล่าเรื่องสวรรค์ เขาบอกว่ามันคือ “โลกที่คนตายจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” เราสังเกตได้ว่าบนโต๊ะอาหารประกอบไปด้วย เรกีนา, ปีเตอร์, คาธารีนา, ฮันนาห์ พวกเขาคือคนที่ตายจากไปในโลกของอดัม หากแต่ในโลกต้นกำเนิดพวกเขาจะมีชีวิตต่อไป (ส่วนตัวละครอื่นๆ อย่าง อูลริช, ชาร์ล็อตเทอ, มิคาเอล จะไม่มีตัวตนในโลกนี้ เพราะพวกเขาเป็นลูกหลานทางใดทางหนึ่งของโยนาส/มาร์ธา ซึ่งสองคนนั้นไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว)
หากแต่ในตอนจบฮันนาห์บอกว่าจะตั้งชื่อลูกในท้องว่าโยนาส ซึ่งสามารถตีความในหลากหลายทาง เขาอาจจะเป็นโยนาสที่เติบโตอย่างมีความสุขก็ได้ หรือนี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของลูปครั้งใหม่ อย่างเช่นประโยคสำคัญที่ Dark เน้นย้ำมาตลอดว่า “จุดเริ่มต้นตือจุดจบ และจุดจบก็คือจุดเริ่มต้น”