ไม่พบผลการค้นหา
ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย อัด 'ประยุทธ์' ให้ต่างชาติถือครองที่ดินสะท้อนกระตุ้นเศรษฐกิจล้มเหลว เป็นการขายชาติเพราะผู้นำขาดความรู้ แนะต้องทำโครงสร้างพื้นฐานให้ดีก่อน

วันทีี่ 1 พ.ย. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย นำโดย พิชัย นริพทะพันธุ์ หัวหน้าคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เอกชัย ทรงอำนาจเจริญ ส.ส. อุบลราชธานี และจุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางรัก

โฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวในหัวข้อ “ขายชาติ หรือ กระตุ้นเศรษฐกิจ ? “กรณีร่างกฎกระทรวงมหาดไทย ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ต่างชาติศักยภาพสูงเข้ามาลงทุนในประเทศไทย 40 ล้านบาท เพื่อแลกกับการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ 

โดย พิชัย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยคัดค้านเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น มองว่า การที่รัฐบาลทำเช่นนี้สะท้อนถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไม่มีทางหาเงินแล้ว จึงคิดมาตรการดังกล่าวออกมา อ้างว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ที่ดินราคาเพิ่มขึ้นสูง ทั้งที่คนไทยส่วนใหญ่ประมาณ 80% ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ทำให้ถูกโจมตีในโซเชียลมีเดียอย่างหนักว่าเป็นการขายชาติ

“รัฐบาลเคยชี้แจงว่า สามารถทำให้คนจนน้อยลงได้ ซึ่งย้อนแย้งกับการจะแจกบัตรคนจน 23 ล้านใบ และโดยหลัก ควรมีคนจนราว 10% หรือ 6 ล้านกว่าคน ในประเทศ อีกทั้งหลักการการนับปริมาณคนว่างงานของไทยยังไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง เพราะคนว่างงานของไทยมากกว่าตัวเลขที่รายงานมาก แถมยังมีการว่างงานแฝงในภาคเกษตรกรรมอีกด้วย” พิชัย ระบุ

อย่างไรก็ดี อีกข้อกังวลที่ผู้นำยังขาดความรู้ความเข้าใจคือเรื่องพลังงาน ที่เป็นปัญหามาตลอด โดยเฉพาะในช่วงหลังที่ราคาพลังงานมีราคาสูงขึ้นมาก ทำให้เห็นความผิดพลาดในการบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้น ทั้งราคาน้ำมันที่มีราคาเพิ่มขึ้นมาก ราคาก๊าซหุงต้มที่พุ่งสูง และ ราคาไฟฟ้าที่มหาโหด 

โดยเฉพาะราคาไฟฟ้าที่พุ่งขึ้นมากถึงหน่วยละ 4.72 บาท และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก สาเหตุมาจากการบริหารเชื้อเพลิงที่ผิดพลาด และอีกส่วนหนึ่งมาจากการให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าที่เกินกว่าความจำเป็น ส่งผลให้มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าสูงกว่า 50% ต้องจ่ายค่าความพร้อมสำหรับโรงงานไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้า เป็นจำนวนที่สูงเดือนละหลายพันล้านบาท 

แต่ล่าสุด ทั้งๆที่มีปริมาณการผลิตที่เกิน แต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยังจะออกใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 5,203 เมกกะวัตต์ ซึ่งจะยิ่งทำให้การผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตล้นอยู่แล้ว ล้นเพิ่มขึ้นอีก แม้จะอ้างว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดและลมซึ่งเป็นอนาคต แต่คำถามอยู่ที่ว่าได้มีการลดการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอซซิลลดลงไหม ซึ่งไม่เห็นมี การผลิตไฟฟ้าเพิ่มโดยไม่ลดส่วนอื่นลง จะทำให้การผลิตไฟฟ้าล้นเกินและจะมาเพิ่มค่าความพร้อมให้มากขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงอยากให้พิจารณาให้ดี อย่าดำเนินการโดยไม่ได้ศึกษาหรือต้องการแค่จะเอาใจนายทุนเท่านั้น เพราะจากข้อมูลที่ได้รับ ยังมีการล็อกสเป็กให้กับผู้ประกอบการบางกลุ่มไว้แล้ว สางผลให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถจะเข้าร่วมโครงการนี้ได้ 

นอกจากนี้ ยังมีความขัดแย้งในวงการพลังงานในระดับสูงแทบทุกระดับ ตามที่ปรากฏกระแสข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนประธานบอร์ด บมจ. ปตท. ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ได้ลาออก จนถึงการเปลี่ยน CEO ของ บมจ. ปตท. ด้วย รวมถึงการจะเปลี่ยนปลัดกระทรวงพลังงาน เพราะไม่ทำตามใจผู้มีอำนาจ หรือ ต้องการเอาใจนายทุนผู้มีอิทธิพลเท่านั้น ซึ่งหากเป็นจริง ความเสียหายทางด้านพลังงานจะมีปัญหามากยิ่งขึ้น และถือเป็นการขายชาติทางด้านพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง และไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด

ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและเศรษฐกิจไทยยังย่ำแย่ ผู้นำจะต้องมีความรู้ความสามารถและต้องมีกรอบคิดในภาพใหญ่ เพียงพอที่จะนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากปัญหาได้ แต่ที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้แสดงให้ประชาชนได้รับรู้เลย คิดได้แค่จะขายที่ดินให้ต่างชาติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นถูกโจมตีว่าขายชาติ ซึ่งทำให้ไม่มีใครเชื่อได้ว่า พลเอกประยุทธ์ จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและนำพาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้ 

ด้าน กฤษฎา กล่าวเสริมว่า การที่รัฐบาลออกนโยบาย ขายทรัพย์สินของชาติให้คนต่างประเทศนั้น หากประเทศมีสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและคนในประเทศมีกำลังซื้อที่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านและต่างประเทศได้ แต่วันนี้ เรายังเป็นรองประเทศเพื่อนบ้านมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เม็ดเงินการลงทุน รวมไปถึงความพร้อมของคนในชาติ เกรงว่านโยบายนี้จะยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำของคนในชาติ และยิ่งจะทำให้ต่างชาติเข้ามาตักตวงผลประโยชน์

ซึ่งหากรัฐบาลต้องการจะขับเคลื่อนนโยบายนี้จริง ยิ่งควรจะต้องปูพื้นฐานให้คนในชาติ โดยเฉพาะรายได้ต่อหัว ควรจะต้องสูงกว่านี้ก่อน แต่วันนี้ เป็นเพราะรัฐบาลน่าจะหมดหนทางในการหารายได้และดึงดูดนักลงทุน เลยใช้วิธีการขายทรัพย์สินแทน เพราะเป็นวิธีที่ง่ายในการเพิ่มเงินลงทุนในประเทศ แต่ในระยะยาวน่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะสุดท้ายจะทำให้ที่ดินและทรัพย์สินแพงขึ้น จนคนไทยที่มีรายได้น้อยจะไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ 

ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า รัฐบาลลงทุนผิดพลาด โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน วันนี้หากในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ขับเคลื่อนนโยบาย 2 ล้านๆ เสร็จตั้งแต่ปี 2563 ก็คงจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาแล้ว บทเรียนที่สำคัญก็คือ วันนี้ประเทศลาว มีเม็ดเงินจำนวนมากจากหลายประเทศ มุ่งเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะหัวเมืองที่มีสถานีรถไฟความเร็วสูง เช่น บ่อเตน หลวงพระบาง วังเวียง จนถึงแม้แต่ตัวเวียงจันทร์เอง วันนี้เราช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายก้าว และหากจะยังดำเนินนโยบายล่าช้า และไม่ทันโลกแบบนี้อยู่ ก็เป็นไปได้ว่าสุดท้ายก็ต้องกู้เพิ่มแน่นอน

ด้าน เอกชัย ระบุว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เช่น เน้นแก้ปัญหาด้วยการแจกเงินผ่านโครงการต่างๆ แต่ผลที่ได้กลับไม่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ตรงข้ามหนี้สินครัวเรือนกลับสูงขึ้นมากที่สุดในประวัตรศาสตร์ รายได้ประชาขนลดลงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ รายได้ไม่พอรายจ่าย เงินส่วนใหญ่ที่หามาได้ หมดไปกับการอุปโภคบริโภค ประชาชนไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินลงทุน ปัญหายิ่งหนักไปกว่าเดิม รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คัน 8 ปีที่ผ่านมาจึงไม่สามารถ เพิ่้มรายได้ เพิ่มผลผลิต ให้กับพี่น้องประชาชนได้ มีแต่เพิ่มรายจ่ายของแพงค่าครองชีพสูง นอกจากนี้ รัฐบาล มักจะอ้างว่าปัญหาวันนี้ มาจากการติดกระดุมผิดเม็ดของรัฐบาลก่อนหน้าจึงต้องอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป 

“ความแข็งแกร่งของนายกฯ ไม่ได้ทำให้แค่เสียเพื่อน เสียมิตร แต่ยังทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสอีกด้วย ท่านน่าจะเป็นนายกคนแรกของไทย ที่ทำให้เศรษฐกิจไทย โตต่ำที่สุดในภุมิภาคมาตลอด” เอกชัย กล่าว 

ด้าน จุฑาพร กล่าวว่า รัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนสนใจมาลงทุนในไทย เร่งการจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว อย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้นำเข้ามากอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ หากเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน จะแก้กฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในประเทศไทย ลูกหลานไทยเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแผ่นดินเกิด ที่รอเวลาถูกยึดครองโดยชาวต่างชาติ 

รัฐบาลที่ดีจะมีนโยบายที่จะต้องสร้างรายได้ให้ประชาชนให้เพิ่มขึ้น ประชาชนจะได้มีเงินมาซื้อที่ดินเป็นของตัวเอง และทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของที่ดินง่ายขึ้น มากกว่าจะคิดขายที่ดินให้กับต่างชาติในขณะที่คนส่วนมากยังไม่มีที่ดินของตัวเอง