นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีวิปรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการเปิดสภา ฯ สมัยวิสามัญ ว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่รัฐบาลจะขาดข้อมูลรอบด้านจากผู้แทนประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งข้อมูลที่หลากหลายของผู้แทนฯ จะเป็นประโยชน์ที่รัฐบาลจะนำไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญทันต่อสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชน
ในสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมืองเช่นนี้ ไม่มีใครจะเอาเวลาเปิดสภา ฯ มาหลอกโจมตีรัฐบาล ใครทำก็เสียหายแก่ตนเอง มีแต่จะเสนอแนะให้รัฐบาลใช้เม็ดเงินงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ รอบคอบ รัดกุม เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติให้มากที่สุด
ขอยกข้อเท็จจริงสัก 3 ตัวอย่าง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญ ดังนี้
1. ใครจะไปคาดคิดว่า รัฐบาลจะตัดงบประมาณโครงการหลักประกันสุขภาพ หรือบัตรทอง เป็นเงินถึง 2,400 ล้านบาท พอคนในร้อง ภาคส่วนต่าง ๆ รับ โดยเฉพาะผู้แทนประชาชนออกมาปกป้องสิทธิประชาชน รัฐบาลก็ถอย ยอมคืนงบที่ตัดไปเรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่า การทำงานใหญ่โดยเฉพาะการพิจารณาปรับ ลดงบประมาณของรัฐบาล ขาดความรอบคอบ รัดกุม ยังดีที่ยอมรับฟังเสียงทักท้วง
ดังนั้น งบเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณจำนวนมหาศาลที่เป็นภาระของคนไทยทุกคนในอนาคต ในวงแคบ รัฐบาลโดยฝ่ายประจำอาจพลาด ไม่รอบคอบ รัดกุม เช่นเดียวกับที่เคยตัดสินใจตัดงบประมาณโครงการหลักประกันสุขภาพ หรือบัตรทอง จึงควรรับฟังความเห็นของผู้แทนประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้การใช้เม็ดเงินงบประมาณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. การออก พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ในระยะเริ่มแรกให้มีกองทุนมีวงเงินไม่เกินสี่แสนล้านบาท นั้นเรื่องนี้ เป็นประด็นที่ถูกวิพากษ์ วิจารณ์มาก ทั้งในข้อกฎหมาย ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการนอกอำนาจ หน้าที่ หรือไม่ และในข้อเท็จจริงว่า เอื้อนายทุนระดับใหญ่ หรือไม่ในข้อเท็จจริง มีรายการ TVช่องรัฐบาล (อสมท.) ออกมาเปิดเผยข้อมูลหุ้นกู้ของบริษัทต่าง ๆ ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปีนี้ จำนวน 15 อันดับ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นบริษัทในเครือของเจ้าสัวที่นายกรัฐมนตรีมีจดหมายไปขอคำแนะนำการแก้ไขปัญหาวิกฤตไวรัสโควิต-19 ทั้งสิ้นและพบว่า ในส่วนของเจ้าสัวที่รวยสูงสุด(รายเดียว) มีหุ้นกู้ของบริษัทในเครือที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปีนี้ เป็นยอดเงินรวมทั้งสิ้นถึง 58,580 ล้านบาท
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า นั่นเป็นข่าวซึ่งยังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าข้อมูลเป็นเช่นนั้น จริงหรือไม่หากมีการเปิดสภา ฯ สมัยวิสามัญ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเร็วขึ้นกว่าสมัยสามัญ ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ก็จะได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อปกป้องงบประมาณสี่แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องไปกู้มา เป็นภาระในอนาคตของคนไทยทุกคน ได้รับการตรวจสอบการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนแต่หากรัฐบาลไม่เปิดสภาฯสมัยวิสามัญ ให้มีการใช้เม็ดเงินงบประมาณ จำนวนสี่แสนล้านบาท ไปตาม พ.ร.ก.ที่รัฐบาลออกมา เสียงข้อครหาก็คงจะอึงคะนึงว่า รัฐบาลเอื้อเจ้าสัว โดยเฉพาะการมีจดหมายถึงเจ้าสัวอาจเป็นหลักฐานการทุจริตเชิงนโยบาย หากงบประมาณจำนวน4แสนล้านบาทนี้เกิดความเสียหายเอื้อเจ้าสัวจริง ๆ หนทางที่ดีที่สุด ควรเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญ เคลียร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนว่า รัฐบาลเอื้อเจ้าสัว หรือไม่
3. การเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากไวรัสโควิด-19 นับเป็นมหกรรมความเดือดร้อนของประชาชน กว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศถ้ารัฐบาลไม่ฟังเสียงผู้แทนประชาชนทั่วประเทศที่จะเสนอแนะให้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ทั่วถึง และรวดเร็ว งานก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโปรดอย่าลืมว่า คนไทยที่ยากจนโดยเฉียบพลันมีนับล้าน ๆ คนแต่ละคนมีภาระ มีความเดือดร้อน หนัก เบา ไม่อาจหาเกณฑ์มาตรฐานใดมาวัดได้ จึงเห็นคนไทยฆ่าตัวตายด้วยพิษเศรษฐกิจรายวันเงิน 5,000 บาท ที่จะถึงมือประชาชน นั้น บางครอบครัว ถ้าช้าไป 1 วัน มีค่ายิ่งที่ไม่อาจคำนวณเป็นมูลค่าตัวเงินได้ ถ้ารักษาชีวิตของบุคคลในครอบครัวนั้นไว้ได้
"การเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่รัฐบาลจะรับทราบปัญหา ข้อเสนอแนะที่หลากหลาย นำมาประมวลเป็นระบบ แล้วหาทางออกร่วมกันในการแก้ไขปัญหาของประเทศจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลได้ทบทวนการเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญอีกครั้ง" นายชวลิต กล่าว