ไม่พบผลการค้นหา
พร้อมตั้งเป้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน 40 ปี และสัญญาว่าจะไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ในต่างประเทศ

“เราจำเป็นต้องปรับปรุงธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างแข็งขัน และสร้างชุมชนสำหรับมนุษย์และธรรมชาติ เราจำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำ และบรรลุการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จีนจะมุ่งมั่นที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดก่อนปี 2573 และจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนก่อนปี 2603 การดำเนินการนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และเราจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ จีนจะเพิ่มการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในการพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำ และจะไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินโครงการใหม่ในต่างประเทศ”

ถ้อยคำส่วนหนึ่งจากคลิปบันทึกแถลงการณ์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำประเทศจีน ที่เปิดในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ (United Nations General Assembly – UNGA) ครั้งที่ 76 ที่จัดขึ้น ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2564  เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมนี้เป็นหนึ่งใน “แผนการพัฒนาโลก (Global Development Initiative)” ที่สี จิ้นผิงแถลงต่อยูเอ็น

สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า แถลงการณ์ครั้งนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สำหรับประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด อย่างไรก็ตามจีนเริ่มส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในด้านนี้มาตั้งแต่ต้นปี โดยเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีที่จีนไม่ให้เงินสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวกับถ่านหินเลยตลอดหกเดือนแรกของปี 2564

ที่ผ่านมาโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินของประเทศจีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ถูกต่อต้านมาโดยตลอดในต่างประเทศ โดยเฉพาะจากองค์กรภาคประชาสังคมและคนท้องถิ่น ทั้งในบังกลาเทศ เคนยา เวียดนาม รวมถึงประเทศไทยด้วย แม้จะมีการระบุถึงการสนับสนุนประเทศอื่นในเรื่องการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสัญญาว่าจะไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ใหม่ แต่จีนยังไม่ได้แถลงรายละเอียดว่าจะมีนโยบายอย่างไรกับโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กำลังก่อสร้างหรือก่อสร้างแล้วเสร็จในต่างประเทศ

นอกจากนี้ สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงไม่ได้พูดถึง คือรายละเอียดของการวางแผนจัดการโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศของตัวเอง จีนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และถ่านหินยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่า จีนจะควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างไรไปจนกว่าจะถึงจุดพีคในปี 2573 ตามที่แถลงไว้ เพราะคำสัญญานี้อาจจะไม่ช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงของผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โลกกำลังเผชิญและคาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต

ยูเอ็นเพิ่งรายงานว่าอุณหภูมิโลกอาจสูงขึ้นถึง 2.7 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษ ซึ่งสูงเกินกว่าที่ผู้นำโลกสัญญาและตั้งเป้าหมายร่วมกันในความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อปี 2558 ว่าจะรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือลดไปจนถึง 1.5 องศาเซลเซียส

อันโตนิโอ กูเทอเรซ เลขาธิการแห่งสหประชาชาติให้ความเห็นต่อการรับปากของสี จิ้นผิงครั้งนี้ว่า “การเร่งการเลิกใช้ถ่านหินทั่วโลกเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดเพียงขั้นตอนเดียวในการทำให้การรักษาเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีสยังเป็นไปได้”

อย่างไรก็ตามการให้คำสัญญาของสี จิ้นผิงต่อสหประชาชาติในครั้งนี้ อาจนำไปสู่การถกเถียงและการตกลงที่สำคัญในการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของยูเอ็น COP26 ที่ผู้นำจาก 196 ประเทศทั่วโลกจะมาพบกันที่เมืองกลาสโกว์ สก็อตแลนด์ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

 

ที่มา:

https://www.nytimes.com/2021/09/21/climate/china-power-plants-coal.html

https://www.nytimes.com/2021/09/17/climate/climate-change-united-nations.html

https://asia.nikkei.com/Politics/International-relations/Xi-Jinping-s-full-speech-at-the-U.N.-s-76th-General-Assembly2