CNN รายงานว่าพายุฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้หลายพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับน้ำท่วมฉับพลัน หนึ่งในนั้นคือมลรัฐนิวยอร์ก ซึ่งพื้นที่ใจกลางนครนิวยอร์ก หรือ NYC ได้รับความเสียหายอย่างหนักจนขณะนี้ทางการชี้ว่าตัวเมืองได้เป็น "อัมพาต" แล้ว และมีรายงานการเสียชีวิตอย่างน้อย 9 รายในมลรัฐนิวยอร์และนิวเจอร์ซีย์ หนึ่งในผู้เสียชีวิตคือเด็กวัย 2 ขวบเท่านั้น
สถานีรถไฟใต้ดินต้องจมบาดาลเพราะมีน้ำท่วมขังเกือบทั้งหมด ขณะที่คลิปวิดีโอถูกโพสต์ในโซเชียลมีเดียแสดงภาพน้ำไหลทะลักจากพื้นถนนลงสู่สถานีอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ต้องระงับการให้บริการรถไฟใต้ดินเกือบทุกสถานีใน NYC
ทางการสามารถวัดระดับน้ำที่สวนสาธารณะใจกลางเกาะแมนฮัตตันอย่างเซ็นทรัลพาร์คได้สูงถึง 7.13 นิ้ว นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 94 ปี เพราะก่อนหน้านี้สถิติเดิมคือระดับ 3.84 นิ้วในปี 2470
ขณะที่สถานการณ์ในมลรัฐใกล้เคียงอย่างนิวเจอร์ซีย์เผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน ระดับน้ำฝนที่สนามบินนูอาร์คสูงถึง 8.41 นิ้ว ทุบสถิติเดิมคือ 2.22 นิ้ว บันทึกไว้เมื่อปี 2502 นับเป็นวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
คิม คอบบ์ นักวิทยาศาสตร์จาก Global Change Program แห่งสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจียระบุกับ CNN ว่า ในสภาวะโลกร้อนเช่นนี้ ชั้นบรรยากาศสามารถเก็บความชื้นได้ในปริมาณที่มากกว่าปกติอย่างชัดเจน และเรากำลังเผชิญกับความเชื่อมโยงดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นเมื่อกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา อุทกภัยในยุโรปตะวันตกคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 183 ราย
ทั้งนี้ ฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ คืออาฟเตอร์แมตช์ที่เป็นผลมาจากพายุเฮอริเคน 'ไอดา' ที่พัดเข้าถล่มสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ที่เมืองแกรนด์ไอล์ มลรัฐหลุยเซียนา พื้นที่ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ เป็นพายุที่มีความรุนแรงระดับที่ 4 พัดขึ้นชายฝั่งด้วยความเร็ว 150 ไมล์ต่อชั่วโมง ก่อให้เกิดพายุและคลื่นลมแรง มีฝนตกกระหน่ำอย่างหนักในวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง คาดจะใช้เวลาร่วม 1 เดือนเต็มกว่าจะสามารถกลับมามีไฟฟ้าใช้ได้ตามปกติ