อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่คาดหวังผลจากการปรับ ครม. แต่ต้องเร่งแก้ปัญหา 3 ป. คือปากท้อง ปรองดอง และประชาธิปไตย ชี้ปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่ถ้ารัฐบาลนี้แก้ไม่สำเร็จ ก็ต้องรอรัฐบาลหน้าหลังการเลือกตั้งมาแก้
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวว่า ข่าวการปรับ ครม. เป็นสีสันการเมือง พรรคเพื่อไทยไม่สนใจเรื่องตัวบุคคล แต่ให้ความสำคัญในสาระและปัญหาเร่งด่วนที่ต้องเร่งแก้ คือ ปัญหา 3 ป. ได้แก่ ปากท้อง ปรองดอง และประชาธิปไตย ปัญหาปากท้องกระทบคนส่วนใหญ่ และแนวโน้มแก้ยากขึ้น เกษตกรและผู้มีรายได้น้อยยังลำบาก ราคาพืชผลเกษตรหลักเช่น ข้าว ยาง ปาล์ม ยังต่ำ เกษตรกรขาดกำลังซื้อ ปัญหาความยากจนยังมีอยู่ คนที่พูดว่าปีหน้าจะไม่มีคนจนเป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล แต่ในความเป็นจริงคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีมากจึงจะแก้ได้ แต่รัฐบาลนี้ก็ต้องเร่งแก้
ส่วน ป - ปรองดองนั้น ตอนหลังเรื่องนี้แผ่วลงไปมาก อ้างว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างความปรองดอง ขณะนี้ยังแก้ไม่ได้ และดูเหมือนมีคู่ขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก สิ่งที่ควรทำคือ ไม่เพิ่มคู่ขัดแย้ง ลดวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง สร้างความไว้วางใจของคนกลุ่มต่างๆ บังคับใช้กฏหมายอย่างเป็นธรรมและเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ เปิดพื้นที่เสรีภาพให้ประชาชนและสื่อมวลชนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ยกเลิกการเรียกปรับทัศนคติ
ส่วน ป สุดท้ายคือ ประชาธิปไตย คสช. และรัฐบาลควรสร้างบรรยากาศในการเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งที่ประชาชนจะตัดสินใจเลือกผู้แทนของตน ดังนั้นควรเปิดพื้นที่ให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองผ่านพรรคการเมือง เพื่อปฏิบัติให้สอดคล้องกับ พรป. พรรคการเมือง และควรเปลี่ยนทัศนะคติที่ว่าพรรคการเมืองคือที่ชุมนุมของนักเลือกตั้ง เพราะที่จริงพรรคการเมืองคือกลไกในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนรวมตัวกันเสนอแนวทางแก้ปัญหาประเทศ ส่วนที่อ้างว่ายังไม่ปลดล็อคเพราะกลัวความวุ่นวายนั้น ข้ออ้างไม่ค่อยมีน้ำหนัก ตนไม่เชื่อว่าจะมีใครทำ แม้คิดจะทำก็ไม่สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลมีกลไกและมาตรา 44 อยู่และสังคมคงไม่ยอมรับการสร้างความวุ่นวาย
ดังนั้นควรเปิดพื้นที่ให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมที่ต้องทำตามกฏหมาย การพบปะรับฟังประชาชนเพื่อจัดทำนโยบายและกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆได้แล้ว “จะปรับ ครม อีกกี่ครั้ง ปัญหา เรื่อง ปากท้อง ปรองดอง ประชาธิปไตย ก็ยังคงอยู่ ถ้ารัฐบาลนี้แก้ไม่สำเร็จ คงต้องรอรัฐบาลหน้าหลังการเลือกตั้งมาแก้”
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ประกาศว่าปีหน้าคนจนจะหมดไป ว่า อยากจะให้กำลังใจให้แก้ปัญหาความยากจนให้สำเร็จ แต่ด้วยระบบที่เป็นอยู่และการปฏิบัติของรัฐบาลเองที่มุ่งรักษาอำนาจ และบริหารประเทศขาดหลักนิติธรรม จึงสร้างระบบและการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ทางออกของบ้านเมืองคือรัฐบาลรีบคืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติและประชาชน
ขณะที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่านอกเหนือจากการปรับคณะรัฐมนตรี รัฐบาลควรปรับเปลี่ยนนโยบายและเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และควรพิจารณาโครงการต่างๆของรัฐบาลที่ไม่ตอบโจทก์ ไม่ว่าจะเป็นโครงการชอปช่วยชาติที่ไม่ส่งผลดีต่อประชาชนระดับฐานราก เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่อำนวย อีกทั้งปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ รัฐบาลควรเร่งปรับทิศทางนโยบายเพื่อหาทางออกให้ประชาชน