นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ ช่วยราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมหารือกับสมาคมการจัดหางานไทยไปต่างประเทศว่า ที่ประชุมได้มีการหารือใน 3 ประเด็นหลักคือ
1) การแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสะดวกรวดเร็วในการทำงาน เช่น การแก้ไขพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 เกี่ยวกับการโฆษณา การกำหนดค่าบริการและค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะต้องแก้ไขให้ทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2) การขยายตลาดแรงงานในต่างประเทศ เช่น กาตาร์ สาธารณรัฐเกาหลี อิสราเอล ไต้หวัน บรูไน เป็นต้น และมีการทำงานในเชิงรุกต่อประเทศที่มีความต้องการแรงงานและอัตราค่าจ้างสูง เช่น อเมริกา ยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น เพื่อให้เกิดตลาดแรงงานใหม่ๆ
3) ปัญหาการจัดส่งแรงงานไทยไปตะวันออกกลาง เช่น ค่าจ้างแรงงานไม่จูงใจ ทำให้ประสบปัญหาในการทำงานต่าง ๆ เป็นต้น
โดยขอให้บริษัทจัดหางานที่จัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศร่วมมือกับภาครัฐ ซึ่งกรมการจัดหางานมีนโยบายว่าแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศจะต้องได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน โดยค่าจ้างควรได้มากกว่าทำงานในประเทศ 3 เท่า บริษัทจัดหางานฯ จะต้องถูกต้องตามกฎหมาย ประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับคนหางาน ทั้งนี้ หากมีปัญหาอะไรให้ช่วยกันแก้ไข โดยบริษัทจัดหางานสามารถดำเนินธุรกิจได้ ขณะเดียวกัน ต้องดูแลคนหางานอย่างมีคุณธรรมและมีความรับผิดชอบตลอดสัญญาจ้าง นอกจากนี้ จะทำตลาดแรงงานคุณภาพ กล่าวคือคุณภาพทั้งฝีมือ ความประพฤติ และด้านการใช้ภาษา
นายอนุรักษ์ กล่าวในตอนท้ายว่า กรมการจัดหางานพร้อมจะทำงานร่วมกับบริษัทจัดหางานฯ เพื่อประโยชน์ของคนไทย โดยการจะจัดส่งคนไทยไปทำงานต่างประเทศต้องตอบโจทย์ว่า คนงานได้ค่าตอบแทนคุ้มค่าและบริษัทมีกำไร ทั้งนี้ หากคนหางานใดสนใจสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทร.สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
ด้านนายสุรชัย หวังวัฒนานุกุล นายกสมาคมการจัดหางานไทยไปต่างประเทศ กล่าวว่า สมาคมฯ ได้รับทราบนโยบายตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่างๆ ซึ่งเห็นด้วยกับกรมการจัดหางาน และจะทำงานร่วมกันในรูปแบบประชารัฐ ทำให้คนไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างมีศักดิ์ศรี มีรายได้ที่เหมาะสม มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยยึดหลักจัดส่งแรงงานไทยที่มีคุณภาพคู่คุณธรรม