ไม่พบผลการค้นหา
นิวยอร์กไทม์สเปิดเผยว่า ได้ย้ายพนักงานฝ่ายดิจิทัลออกจากฮ่องกงไปยังกรุงโซล เนื่องจากกังวลเรื่องเสรีภาพสื่อ หลังมีการใช้กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง

สำนักข่าวนิวยอร์กไทม์สของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ได้ย้ายพนักงานฮ่องกงบางส่วนไปอยู่ในกรุงโซลของเกาหลีใต้ เนื่องจากกังวลเรื่องการใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่ของฮ่องกง ซึ่ง “สร้างความไม่มั่นคงให้กับองค์กรสื่อ และสร้างความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของฮ่องกงในฐานะศูนย์รวมสื่อ” ดังนั้น นิวยอร์กไทม์สจึงต้อง “รอบคอบในการวางแผนรับความเป็นไปได้ต่างๆ และเริ่มกระจายพนักงานในกองบรรณาธิการของเราไปทั่วภูมิภาค”

กฎหมายความมั่นคงใหม่ในฮ่องกงเอาผิดการล้มล้าง การแยกประเทศ และการสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติ ก็ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในวงการสื่อในฮ่องกง แม้ทางการฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่จะไม่กระทบกับเสรีภาพในการแสดงออก แต่กฎหมายนี้จำเป็นสำหรับการปราบปรามความไม่สงบที่เกิดขึ้นในฮ่องกงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม นิวยอร์กไทม์สไม่ได้เปิดเผยว่าย้ายพนักงานออกจากฮ่องกงไปกี่คน เปิดเผยเพียงว่าย้ายพนักงานราว 1 ใน 3 ของพนักงานที่อยู่ในฮ่องกงทั้งหมด เป็นพนักงานฝ่ายดิจิทัลที่ดูแลช่องทางออนไลน์ในช่วงเวลาที่สำนักงานในนิวยอร์กและลอนดอนหลับ แต่ไม่รวมผู้สื่อข่าวที่ทำข่าวในฮ่องกง ฝ่ายโฆษณาและการตลาด

ที่ผ่านมา องค์กรสื่อต่างประเทศมักถูกจำกัดเสรีภาพสื่อในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่มักได้รับการยกเว้นในฮ่องกง และนิวยอร์กไทม์สเข้าไปตั้งสำนักงานในฮ่องกงเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว เมื่อฮ่องกงถูกส่งมอบคืนให้จีนแผ่นดินใหญ่ในปี 2540 แม้มีการยืนยันนโยบาย ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ ที่รับรองสิทธิเสรีภาพของชาวฮ่องกง แต่ก่อนจะมีกฎหมายความมั่นคง ก็มีความพยายามกดขี่เสรีภาพสื่อและเสรีภสพในการแสดงในฮ่องกงมากขึ้น

ทั้งนี้ อารี ไอแซกแมน เบวักควา ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของนิวยอร์กไทม์สเปิดเผยกับสำนักข่าวบีบีซีว่า นิวยอร์กไทม์สจะยังทำธุรกิจและศูนย์หนังสือพิมพ์ในฮ่องกงต่อ และตั้งใจจะทำข่าวในฮ่องกงและจีนต่อไป แม้จะย้ายทีมดิจิทัลไปกรุงโซล เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและให้มั่นใจว่าทรัพยากรที่จำเป็นของสำนักข่าวจะสามารถเข้าถึงได้ง่ายจากทั่วภูมิภาค

ช่วงที่ผ่านมา พนักงานของนิวยอ์กไทม์สก็ประสบปัญหาในการขอวีซ่าเพื่อทำงานในฮ่องกงต่อ ซึ่งมักเป็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นประจำในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในฮ่องกง เบวักควากล่าวว่า ฮ่องกงเป็นผู้นำในการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพสื่อในเอเชียมาหลายทศวรรษ และเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำต่อไป โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อสื่อเสรีในจีนแผ่นดินใหญ่ท่มกลางวิกฤตไวรัสโคโรนาระบาด

เมื่อปี 2561 วิกเตอร์ มัลเลต ผู้สื่อข่าวของไฟแนนเชียลไทม์สถูกกีดกันไม่ให้เข้าฮ่องกงด้วยวีซ่าท่องเที่ยว เพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่ทางการฮ่องกงไม่ต่อวีซ่าทำงานของเขาโดยไม่มีคำอธิบาย แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามาจากการที่มัลเลตเคยเป็นรองประธานสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในฮ่องกง และเป็นพิธีกรในงานที่ผู้ประท้วงเรียกร้องการแยกประเทศไปพูด

ต้นปี 2563 จีนแผ่นดินใหญ่ขับผู้สื่อข่าวจากนิวยอร์กไทม์ส, เดอะ วอชิงตัน โพสต์ และเดอะ วอลสตรีท เจอร์นัลออกจากประเทศ และให้คืนบัตรสื่อภายในไม่กี่วัน

จีนเตรียมตอบโต้สหรัฐฯ ถอนสถานะพิเศษของฮ่องกง

กระทรวงต่างประเทศจีนประกาศว่าจะตอบโต้กรณีโดนัลด์ ทรัมป ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งให้ถอดถอนสถานะพิเศษทางเศรษฐกิจของฮ่องกงในกฎหมายสหรัฐฯ เพื่อลงโทษ “การกระทำที่เกรี้ยวกราด” ของจีนต่อฮ่องกงด้วยการใช้กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง

ทั้งนี้ จีนระบุว่า ไม่มีประเทศใดมีสิทธิแทรกแซง “กิจการภายใจจีนโดยแท้” และการขัดวางการใช้กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงโดยสหรัฐฯ จะไม่มีวันสำเร็จ และจีนมีความจำเป็นและจะใช้มาตรการคว่ำบาตรชาวอเมริกันและนิติบุคคลอเมริกัน เพื่อปกป้องผลประโยชน์โดยชอบธรรมของจีน

จีนยังเตือนให้สหรัฐฯ “แก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง หากสหรัฐฯ ยังดื้อดึงที่จะเลือกทางนี้ จีนจะตอบโต้อย่างหนักแน่น”

ที่มา : The New York Times, BBC, The Guardian