พล.ต.ต.กิตติกร บุญสม ผู้บังคับการผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 4 พร้อมคณะได้ลงพื้นที่มอบนโยบายติดตามการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองนครพนม เพื่อติดตามรับทราบปัญหา และตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองนครพนม เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2561 พร้อมกำชับเข้มเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทำการตรวจสอบคัดกรอง บุคคลที่เดินทางเข้าออกตามแนวชายแดนทุกจุด ทั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองนครพนม รวมถึงไปถึง ด่านชายแดน พื้นที่ภาคอีสาน รวม 9 จังหวัดห้ามบกพร่องต่อหน้าที่ จนกระทั่งพบว่า มีคำสั่งจากกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง ภาค 4 เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2561 ให้ พ.ต.อ.ชัยยศ วรักษ์จุนเกียรติ ผกก.ตม.นครพนม ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมืองภาค 4 และมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย พร้อมมอบหมายให้ พ.ต.ท.นิธิวัชร์ ดิลกพงศ์โยธิน รอง ผกก.ตม.นครพนม รักษาราชการแทน ส่วนผลการสอบสวน ตำรวจทั้ง 2 นาย ยังไม่มีสรุปผลการสอบสวนออกมา
ส่วนความคืบหน้า กรณีปัญหาการหลบหนี พระพรหมเมธี นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ นำกำลังตำรวจกองปราบปราม พร้อมชุดสืบสวน ลงพื้นที่ตรวจสอบติดตามจับกุมด้วยตนเอง แต่ไม่สามารถติดตามจับกุมตัวได้ เนื่องจาก ท่านเจ้าคุณจำนงค์หลบหนีข้ามไปยัง สปป.ลาว โดยมีคนสนิทพาไป โดยอาศัยช่องว่างการทำงานของเจ้าหน้าที่ ขออนุญาตทำหนังสือเดินทางผ่านตามช่องทางด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 3 นครพนม – คำม่วน
โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน นายตำรวจ 2 นาย ที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเอาผิดทางวินัย นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้ ตำรวจ สภ.เมืองนครพนม ที่รับผิดชอบ รวบรวมหลักฐานเสนอศาลจังหวัดนครพนม และมีการอนุมัติออกหมาย จับ 5 บุคคลที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือการหลบหนี คือ 1. นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล หรือสีกาจุ๋ม อายุ 54 ปี ภูมิลำเนาอยู่ กทม. ปัจจุบันพบข้อมูลว่า มีการเดินทางออกประเทศไปยังประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 คนที่ 2 คือ นายพีรวิช ศรีศรัทธา อายุ 28 ปี ลูกศิษย์คนสนิท ปัจจุบันไม่พบข้อมูลเดินทางเข้าออกนอกประเทศ แต่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของตำรวจแล้ว คนที่ 3 คือ นางจิตติมา ลัดตะนะวง อายุ 50 ปี เป็นชาวลาว บ้านอยู่แขวงคำม่วน สปป.ลาว รวมถึงลูกสาวและลูกชาย อีก 2 คน คือ นางจันทะนา ลัดตะนะวง อายุ 27 ปี และ นายน้อย ลัดตะนะวง อายุ 28 ปี
ซึ่งทั้งหมดมีความผิดฐานช่วยเหลือให้การหลบหนี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ผู้ใดช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือ เป็นผู้ต้องหากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือ โดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษ จำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ระหว่างทางตำรวจเร่งประสานกับทางการลาวติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี โดยคดีนี้ทางตำรวจไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลต่อสื่อ อ้างว่าจะกระทบการทำงานของตำรวจ
หมายเหตุ : ภาพสำหรับประกอบรายงานข่าวเท่านั้น
ขอบคุณภาพ : facebook/วัดสัมพันธวงศาราม วรวิหาร