ไม่พบผลการค้นหา
แผงอำนาจ ‘3ป.บูรพาพยัคฆ์’ ถูกจับแยกเรียบร้อย เริ่มจาก ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ ต่างไปสร้างรังใหม่เป็น ‘ดาวคนละดวง’ แต่ยังคงยุทธวิธี ‘แยกกันเดิน รวมกันตี’

แม้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเห็นแย้งว่า ‘ต่างคนต่างอยู่’ ไม่ใช่ ‘แยกกันเดิน รวมกันตี’ แต่ในสูตรอำนาจ ‘2ป.’ ยังคงเป็น ‘พันธมิตร’ กันอยู่

แต่ในส่วน ‘บิ๊กป้อม’ กลับมี ‘แผนสำรอง’ ทำให้ ‘พลังประชารัฐ’ ไหลไปได้ทุกขั้วมากขึ้น ในระยะหลังมานี้ทั้งฝั่ง ‘พปชร.-เพื่อไทย’ ต่างทอดไมตรีให้ได้เห็น

ทำให้ พปชร. เป็นพรรคการเมืองเต็มขั้น ไม่ใช่พรรค ‘เชิงอุดมการณ์’ เฉกเช่นในอดีต ดังนั้นบทบาทพรรค ‘เชิงอุดมการณ์’ จึงตกไปที่ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’(รทสช.) ฐานที่มั่นใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม

แต่ในขณะนี้ฝั่ง ‘ผู้มีอำนาจ’ ไม่ได้มอง ‘หมากเลือกตั้ง’ เท่านั้น แต่มองข้ามช็อตไปถึงการ ‘ตั้งรัฐบาลใหม่’ แล้ว ในการแชร์อำนาจครั้งใหม่ ที่ขั้วอำนาจ ‘3ป.’ ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นเดิม

โดยเฉพาะท่าทีของ ‘บิ๊กป๊อก’พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่เก้าอี้เหนียวนั่ง มท.1 มาแล้ว 8 ปี เตรียมวางมือการเมือง หลังเปิดใจเมื่อครั้งลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา

“ผมก็อยู่เชียร์ท่านอีกไม่กี่เดือน แล้ววันหนึ่งผมก็จะไปเดินกินก๋วยเตี๋ยวในพื้นที่ท่าน เป็นตาแก่คนหนึ่งก็ดูแลด้วย โกรธก็อย่ามาเตะมาต่อย เตะไปก็เปลืองแรงเปล่าๆ เดี่ยวก็ตายแล้ว ไม่เกิดประโยชน์กับตัวท่านเอง ท่านมีจิตใจที่จะทำงานเพื่อสังคม แต่ไฟผมหมดแล้ว ให้ท่านทำไป” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

อนุพงษ์.jpg

ในบรรดา ‘3ป.’ เรียกว่า ‘ป.ป๊อก’ เป็นประเภท ‘น้ำนิ่งไหลลึก’ ยากจะอ่านใจ

ช่วงที่ ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ มีรอยร้าวจากแนวทางที่เห็นต่างกันและคนใกล้ตัวที่ต่างไม่ถูกกัน เป็นที่สังเกตว่า ‘ป.ป๊อก’ ไม่นำตัวเองไปอยู่กลางความขัดแย้ง

แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ‘ป.ป๊อก’ อยู่กับ ‘ป.ประยุทธ์’ ที่เป็นทหารเสือฯ โตมาจาก ร.21 รอ. เหมือนกัน อีกทั้ง ‘ป.ป๊อก’ เคยโดนสั่งสอนจากสภาฯ ผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดน ‘ส.ส.สายปากน้ำ’ จาก พปชร. โหวตไม่ไว้วางใจคาสภา ทำให้ ‘ป.ป๊อก’ ได้คะแนน ‘ไม่ไว้วางใจ’ มากที่สุด

ที่ผ่านมาเก้าอี้ มท.1 ของ พล.อ.อนุพงษ์ โดนเขย่ามาตลอด โดยเฉพาะจากคนใน พปชร. พรรคของ ‘บิ๊กป้อม’ โดยหวังดันให้ ‘บิ๊กป้อม’ ขึ้นเป็น รมว.มหาดไทย เพื่อดูแลลูกพรรคได้มากขึ้น

ซึ่งบรรดาลูกพรรค พปชร. มักให้เหตุผลว่า ‘บิ๊กป๊อก’ ห่างเหิน ส.ส. และไม่ค่อยสนับสนุนเมื่อ ส.ส. ไปขอให้ช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เคยเปิดใจกับ ส.ส.พลังประชารัฐ เมื่อครั้งจะถูกโหวตคว่ำคาสภาฯ ในศึกซักฟอก ก.ค.65 

ในขณะนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ปิดห้องคุยกับ ส.ส.พปชร. กว่า 1 ชั่วโมง พร้อมพยายามชี้แจงเรื่องโครงการต่างๆ​ มีข้อกฎหมายอไม่สามารถทำให้ได้ทุกโครงการ ให้ฝั่ง ส.ส. เข้าใจ

ถือเป็นครั้งแรกๆที่ พล.อ.อนุพงษ์ มาพูดคุยกับ ส.ส. อย่างใกล้ชิด อย่าลืมว่า พล.อ.อนุพงษ์ มาเป็นรัฐมนนตรีผ่าน ‘โควตานายกฯ’ ไม่ใช่ พปชร. อีกทั้งไม่ได้เป็นสมาชิก พปชร. จึงทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ มีทั้ง ‘ระยะห่าง’ และ ‘ลอยตัว’ จาก พปชร. ได้

ทว่าเหมือน พล.อ.อนุพงษ์ รู้ตัวว่าต้อง ‘พอแล้ว’ จึงส่งสัญญาณออกมา แต่คาดกันว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะไปช่วย พล.อ.ประยุทธ์ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติแทน ผ่านการทำงาน ‘หลังม่าน’ แทน ทำให้เก้าอี้ รมว.มหาดไทย ถูกจับตาว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะตกไปที่พรรคใด แต่มีการคาดกันว่าอาจตกมาที่ พล.อ.ประวิตร แทน โดยเป็น รองนายกฯ ควบ รมว.มหาดไทย

ประวิตร พลังประชารัฐ -AA85-C71CD3ACF876.jpeg

นั่นหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยังคงได้เป็น นายกฯ ต่อไป ใช่หรือไม่

ในเวลานี้เองมีการมองภาพ ‘รัฐบาลใหม่’ คงไม่ต่างจาก ‘รัฐบาลประยุทธ์ 2’ ในการจับมือ ‘ขั้วเดิม’ ฟอร์มรัฐบาลขึ้นมา เพราะในฝั่ง ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ ประเมินบนเกมที่ยังมี ‘250 ส.ว.’ อยู่ โดยเปรียบเป็น ‘พรรคใหญ่’ ครองเสียงข้างมากในสภาฯ ในการโหวตเลือกนายกฯ

การเมืองจะมีโอกาส ‘พลิกขั้ว’ หรือขั้วอำนาจ ‘3ป.’ พลังต่อรองลดลง เมื่อ 250 ส.ว. สิ้นสุดวาระ นั่นคือช่วง พ.ค. 2567 นั่นเอง

ทำให้บรรดาพรรคร่วมรัฐบาล 3ป. ต่างซุ่ม ‘ขุมกำลัง’ ของตัวเอง ให้ได้มากที่สุด เพื่อใช้เป็น ‘อำนาจต่อรอง’ ทั้งโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรี และอำนาจหลัง 250 ส.ว. สิ้นสุดวาระ

อีกทั้งอย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะสิ้นสุดวาระนายกฯ ครบ 8 ปี ในปี 2568 ด้วย แม้ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ในขณะนี้ที่สู้สุดตัว ราวกับจะไม่อยู่แค่ 2 ปี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะพูดไปมีแต่ ‘เสีย’ มากกว่า ‘ได้’ จึงต้องจับตาว่าเมื่อถึงปี 2567-2568 จะเกิดปรากฏการณ์ใดขึ้นมาหรือไม่

แต่ที่ต้องจับค่คือการ ‘แข่งกันเอง’ ระหว่าง ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ ที่ต่างไปสร้างรังใหม่ จะชิงขึ้นเป็น นายกฯ ทั้งคู่หรือไม่

หากในกรณีที่ พล.อ.ประวิตร หรือ พปชร. ได้คะแนนมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ หรือ รทสช. จะยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น นายกฯ หรือไม่ ซึ่งในเวลานี้ทั้ง ‘2ป.’ ก็ต่าง ‘เช็คกำลัง-ระดมพล’ ของตัวเอง ผ่านการ ‘ดูด ส.ส. กันเอง’ หรือตกปลาจากบ่อเดียวกัน

ประวิตร ประยุทธ์ 0201216191402000000.jpg

ทำให้ทั้ง ‘บ้านป่ารอยต่อ’ ซอยพหลโยธิน 2 และ ‘บ้านจันทร์โอชา’ ใน ร.1 ทม.รอ. มีคนเข้าออก

สำหรับ ‘บ้านป่ารอยต่อ’ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ใช้เป็น ‘เซฟเฮ้าส์’ มาตลอด ในการพูดคุยการเมือง พบปะผู้คนแบบส่วนตัว มีการเก็บ ‘อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์’ ก่อนพูดคุยด้วย

แต่ในฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ แทบไม่เคยเปิดบ้านให้ใครมาพบ ซึ่งส่วนใหญ่จะเชิญมาที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบฯ แต่การเปิด ‘บ้านจันทร์โอชา’ ให้ ‘เสี่ยเฮ้ง’สุชาติ ชมกลิ่น นำ ส.ส.พลังประชารัฐ สายเสี่ยเฮ้ง เข้าพบ

รวมทั้ง‘แด๊ก-ธนกร วังบุญคงชนะ’ พา ส.ส.ปักษ์ใต้ พปชร. เข้าพบ โดยมี ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อยู่ด้วย โดยมีการพูดคุยถึงการไปร่วมพรรค รทสช. ในอนาคต

เสกสกล พีระพันธุ์ รวมไทยสร้างชาติ BUM_220803_35.jpg

มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะ ‘ตัดสินใจการเมือง’ อย่างเป็นทางการ หลังช่วงเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว โดยคาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะนั่งเป็น ประธานที่ปรึกษาพรรค รทสช. และเป็นแคนดิเดตนายกฯ เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะแก้เกมปัญหา ‘ขาลอย’ ในอดีต เมื่อครั้งอยู่กับ พปชร. ที่ไม่มี ส.ส. ในมือ จึงต้องยืมมือ พล.อ.ประวิตร ในการดูแล ส.ส. มาตลอด

ดังนั้นทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเป็น ‘นักการเมืองเต็มขั้น’ ไม่สามารถ ‘ลอยตัว’ ให้คนอื่น ‘สร้างนั่งร้าน’ ให้ตัวเองได้อีกต่อไป