อุปกรณ์หน้าตาล้ำสมัยบนเพจกระปู๋ฟินเวอร์ อาจกระตุ้นเร้าให้ใครบางคนสติเพริด คิดถึงบรรยากาศตอนไปพิชิตจุดออกัสซัม ซึ่งสำหรับบางคนมันคงยากพอๆ กับการเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์นั่นแหละ
วอยซ์ออนไลน์ตัดสินใจติดต่อขอพูดคุยกับเจ้าของเพจที่มีคนติดตามอยู่มากกว่า 63,000 คน เพื่อสอบถามความเป็นไปในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ๆ ตัวที่หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่บางครั้งกลับทำเป็นมองไม่เห็น!
จริงๆ แล้วเซ็กส์ทอยไม่ใช่ประเด็นแปลกใหม่ในสังคมไทย หลายคนใช้เซ็กส์ทอยเป็นเครื่องผ่อนคลายความใคร่ ขณะเดียวกันบางคนวางเซ็กส์ทอยไว้ใกล้ตัว เพื่อเป็นอุปกรณ์บำบัดรักษาอาการเจ็บป่วย ทว่าปัจจุบัน เซ็กส์ทอยกลับกลายเป็นสินค้าผิดกฏหมายไทย ทั้งๆ ที่ปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่ และเปิดขายกันเกลื่อนกลาด
“ต้องบอกก่อนว่าธุรกิจเซ็กส์ทอยอยู่มานานแล้วในประเทศไทย ส่วนตัวเราเห็นว่ามันเป็นธุรกิจที่สามารถเดินต่อไปได้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ต่อต้าน ถึงแม้มันดูขัดต่อวัฒนธรรมของไทยก็ตาม แต่เราเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้ใครเดือนร้อน ที่สำคัญคือ เราพยายามตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า เมื่อเห็นอุปกรณ์เทียมแล้วทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศที่ก่อปัญหาอาชญากรรมหรือไม่ ซึ่งหากดูคลิปรีวิวตั้งแต่ต้นจนจบ” เจ้าของเพจกระปู๋ฟินเวอร์เล่าที่มาการทำธุรกิจเซ็กส์ทอยให้ฟังหน่อย
แม้ประเทศไทยยังไม่เปิดโอกาสให้มี ‘เสรีเซ็กส์ทอย’ แต่หากขบคิดใคร่ครวญกันตามสภาพความเป็นอยู่จริงก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เซ็กส์ทอยแฝงฝังในสังคมไทยมาเนิ่นนาน และเหนียวแน่นไม่แพ้ฝั่งญี่ปุ่น อมเริกา หรือยุโรป ขัดแย้งกับภาพเมืองพุทธที่ผู้คนต่างเคร่งคลั่งเรื่องศีลธรรมอันดี
เจ้าของเพจบอกเหตุผลการเลือกช่องทางออนไลน์ประกอบธุรกิจว่า ครั้งหนึ่งเธอไปเยือนตลาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้วพบว่า หลายคนตั้งแผงขายอุปกรณ์ทางเพศแบบโจ่งแจ้ง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มักกล้าๆ กลัวๆ กับการเข้าไปสอบถามข้อมูล ทำให้สังเกตเห็นช่องทางการขายออนไลน์ เพื่อเป็นการลดอาการเขินอาย บวกกับสร้างความรู้สึกปลอดภัยเรื่องการปกป้องข้อมูลของลูกค้าด้วย
“ขายดีมาก ลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย และเป็นคนปกติ ไม่ได้เป็นโรคจิตอะไร”
“ลูกค้ามีทั้งผู้ชายที่ซื้อของเทียมเพศหญิง เพราะอยู่ห่างไกลกับแฟน และไม่ต้องการออกไปเที่ยวกลางคืน หรือนอกใจแฟน กระทั่งซื้ออุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้หญิงพบความสุขไปใช้กับแฟนของตัวเอง เพราะหลายคนมีปัญหาเรื่องสุขภาพ บางคนเป็นเบาหวานทำให้หย่อนสมรรถภาพทางเพศ คือลูกค้าจะเข้ามาปรึกษาตรงๆ เลย เนื่องจากเขากลัวแฟนไม่มีความสุข”
กระปู๋ฟินเวอร์เล่าต่อว่า บ่อยครั้งที่ผู้หญิงซื้ออุปกรณ์เทียมให้กับสามีตัวเอง เพราะตัวเองตั้งครรภ์อยู่ ทว่าเมื่อถามหาตัวท็อปขายดีมันกลับเป็นอุปกรณ์ช่วยให้ผู้หญิงพบความสุขทางเพศ ซึ่งส่วนใหญ่ฝ่ายชายเป็นคนซื้อให้แฟน
“ปัญหาหลักๆ ของลูกค้าคือ สุขภาพ และความกลัวคนรักไม่มีความสุขทางเพศ ซึ่งมันอาจนำไปสู่การหย่าร้าง”
“วัฒนธรรมไทยมองเซ็กส์ทอยเป็นการประเจิดประเจ้อเรื่องเซ็กส์ คือความวัฒนธรรมไทยดีอยู่นะ แต่มันขัดกับสัญชาตญาณของมนุษย์ ดังนั้น วัฒนธรรม ผู้ซื้อ ผู้ขาย ควรเดินมาเจอกันตรงกลาง คืออาจจะนำเสนอในลักษณะไม่ยั่วยุทางเพศ แต่ควรให้เสรีภาพกับตัวผู้ซื้อ และผู้ขายด้วย เพราะสุดท้ายเซ็กส์ทอยสามารถลดปัญหาได้หลายเรื่อง” กระปู๋ฟินเวอร์กล่าวทิ้งท้าย